ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2554 |
---|---|
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“อดีตคือบทเริ่มต้น… ทหารต้องมีความรู้ลึกซึ้งในเรื่องของอดีตเพื่อที่จะเข้าใจปัจจุบัน และจะทำให้มองเห็นตัวเขาเองได้ในอนาคต”
กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
PAM 200-20, 1956
โดยปกติแล้ว เรามักจะกล่าวถึงผลพวงของเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ในฐานะของการเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสร้างประชาธิปไตยร่วมสมัย
ซึ่งสถานะเช่นนี้เป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลย เพราะหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของไทยครั้งสำคัญในปี พ.ศ.2475 แล้ว การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้มีสถานะอะไรมากไปกว่าการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในหมู่ชนชั้นนำ โดยมีรัฐประหารเป็นเครื่องมือหลักเพื่อการเปลี่ยนผู้ถือครองอำนาจ
และยิ่งเปลี่ยนมากเท่าใด การเมืองไทยก็ยิ่งมีความอนุรักษนิยมมากขึ้นเท่านั้น
ดังจะเห็นได้ว่า ผลพวงของการเปลี่ยนแปลงที่เราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น “การปฏิวัติทางการเมือง” ในปี 2475 นั้น มีอายุยืนยาวเพียง 15 ปีเท่านั้น!
ใครจะคิดบ้างว่าการยึดอำนาจของผู้นำทหารในเดือนพฤศจิกายน 2490 นั้น คือการปิดฉากของการปฏิวัติ 2475 ลงอย่างไม่น่าเชื่อ
และใช่แต่เพียงเท่านี้ หากยังเป็นการฟื้นตัวอย่างไม่น่าเชื่อเช่นกันของกลุ่มอำนาจก่อน 2475 ที่ดูเหมือนจะ “ถูกกวาด” ออกไปจากเวทีการเมืองไทยแล้ว
แต่กลับใช้เวลาเพียง 15 ปีก็สามารถกวาดพวก 2475 ออกไปจากเวทีการเมืองไทยได้โดยไม่ยากนัก
รัฐประหาร 2490 จึงเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นสัมพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญของกลุ่มทหารและกลุ่มอนุรักษ์นิยมก่อน 2475
และประเด็นสำคัญก็คือ กลุ่มอนุรักษนิยมนี้เรียนรู้บทเรียนสำคัญจากความเปลี่ยนแปลงในปี 2475 ว่า อำนาจที่จะใช้เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยนั้นคือพลังอำนาจทางทหาร
กล่าวคือ ถ้าพวกเขายังสามารถยึดกุมอำนาจของทหารในกองทัพได้แล้ว จะไม่มีโอกาสที่พวกกลุ่ม 2475 จะ “เจาะ” เข้าไปขยายผลทางความคิด จนทำให้ผู้นำทหารและทหารส่วนหนึ่งตัดสินใจเข้าร่วมเพื่อหวังที่จะเห็นความเปลี่ยนแปลงในระบอบการเมืองของประเทศ
นอกจากนี้ ถ้าพวกเขายังยึดกุมอำนาจในกองทัพได้อย่างแท้จริงแล้ว โอกาสที่จะทำให้ “ปฏิบัติการต่อต้านการปฏิวัติ” ประสบความสำเร็จตั้งแต่ในช่วงต้นนั้น อาจจะไม่ยากเย็นอะไรเลย หรืออย่างน้อยก็จะทำให้ “ปฏิบัติการบวรเดช” กลายเป็นชัยชนะของกลุ่มอำนาจเก่า และไม่ได้มีฐานะเป็น “กบฏบวรเดช” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยเช่นที่ปรากฏในตำราเรียนปัจจุบัน
ดังนั้น เพียงแต่ถ้าพวกเขาคุมกองทัพได้จริงแล้ว เหตุการณ์ 2475 ก็จะไม่แตกต่างกับ “กบฏ ร.ศ. 130” ในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งเป็นครั้งแตกที่ทหารส่วนหนึ่งตัดสินใจที่จะทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
พวกเขาเริ่มต้นคิดกันในประมาณปี พ.ศ.2452 และทำการเคลื่อนไหวภายในกองทัพในหมู่นายทหาร แต่ด้วยความหละหลวม และไม่ตระหนักถึงระบบงานแบบปิดลับขององค์กรจัดตั้งทางการเมือง ข่าวความเคลื่อนไหวจึงเริ่มรั่วไหลไปถึงรัฐบาล และตามมาด้วยการที่รัฐบาลส่งสายลับแทรกซึมเข้ามาในองค์กรนี้
เดาได้ไม่ยากนักว่า ชะตากรรมของพวกเขาจะจบลงอย่างไรในสถานการณ์ “เสียลับ”… ในปี 2454 (ร.ศ.130) กลุ่มผู้นำทหารที่คิดเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองชุดแรกของสยามก็ถูกกวาดจับทั้งหมด จากความเป็นนายทหาร พวกเขาได้เปลี่ยนสถานะเป็น “นักโทษการเมือง” ชุดแรกของการเมืองสยามสมัยใหม่
แต่ดูเหมือนกลุ่มอำนาจเก่าจะไม่ตระหนักว่า หน่ออ่อนของความต้องการเห็นสยามเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่ระบอบการเมืองสมัยใหม่ที่มีรัฐธรรมนูญเป็นพื้นฐานของการปกครองนั้น ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วในกองทัพไทย
การกวาดจับกลุ่ม “กบฏ ร.ศ.130” อาจจะหยุดการเคลื่อนไหวของกลุ่มดังกล่าวได้ แต่ก็มิได้หมายความว่าจะไม่เหลือนายทหารคนอื่นๆ ที่คิดในทำนองเดียวกัน
ในต้นปี พ.ศ.2467 ณ บ้านพักของ ร้อยโทประยูร ภมรมนตรี (ยศในขณะนั้น) ที่กรุงปารีส กลุ่มนักเรียนพลเรือนและนักเรียนทหารไทยรวม 7 นาย ได้พูดคุยอย่างต่อเนื่องกันถึง 5 วัน ข้อสรุปตรงไปตรงมาก็คือ ต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม !
พวกเขาประสบความสำเร็จในเดือนมิถุนายน 2475 (21 ปีหลังจากความล้มเหลวของกลุ่ม ร.ศ.130) แต่ก็เป็นความสำเร็จอันเปราะบางยิ่ง เพราะด้วยความแตกแยกภายใน และกลุ่มทหารบางส่วนยังคงยึดติดอยู่กับอุดมการณ์อนุรักษนิยม ซึ่งต่อมากลุ่มทหารนี้ได้กลายเป็นรากฐานสำคัญของการฟื้นอำนาจของกลุ่มเก่าก่อน 2475
โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มพลเรือน (ที่นำโดย อาจารย์ปรีดี พนมยงค์) และกลุ่มทหาร (ที่นำโดยหลวงพิบูลสงคราม)
ผลของความแตกแยกเช่นนี้กลายเป็นโอกาสให้เกิดการช่วงชิงอำนาจในการควบคุมกองทัพ
ดังนั้น เมื่อโอกาสมาถึง กลุ่มอำนาจเก่าก่อน 2475 ซึ่งมีอำนาจในการควบคุมกองทัพมากขึ้น จึงร่วมมือกับผู้นำทหารทำการยึดอำนาจได้สำเร็จในเดือนพฤศจิกายน 2490
และเพียง 15 ปีเท่านั้น การเมืองของกลุ่ม 2475 ก็ปิดฉากลง แม้ผู้นำทหารบางนายหลังรัฐประหาร 2490 จะเคยเป็นผู้นำทหารในยุค 2475 มาก่อน แต่ก็นับเนื่องไม่ได้ว่าพวกเขายังดำรงความคิดเป็นพวก 2475
ดังจะเห็นได้ชัดเจนว่า กลุ่มนายทหารที่เหลืออยู่นั้น พวกเขาไม่เคยอ้างถึงอุดมการณ์ 2475 อีกต่อไป จึงถือได้ว่า “ยุค 2475” นั้นจบลงด้วยการยึดอำนาจในปลายปี 2490
และเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองแบบอนุรักษนิยมชุดใหญ่ของสังคมไทย
การเมืองหลังรัฐประหาร 2490 วนเวียนอยู่กับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจในหมู่ผู้นำทหารบก แม้จะมีทหารเรือเข้ามาเป็นตัวแทรกบ้าง เช่น ในกรณีของกลุ่มนายทหารเรือที่เรียกตัวเองว่า “คณะกู้ชาติ” ได้ก่อการจับกุม จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในพิธีรับมอบเรือขุดสันดอนจากกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาชื่อ “เรือแมนฮัตตัน” ในเดือนมิถุนายน 2494
ปรากฏการณ์เช่นนี้ถือเป็นตัวแบบของความขัดแย้งระหว่างกองทัพบกกับกองทัพเรือในโครงสร้างอำนาจการเมืองในขณะนั้น และกองทัพอากาศได้ตัดสินใจร่วมมือกับกองทัพบก โดยนำอากาศยานเข้าทิ้งระเบิดจะเรือดังกล่าวเกิดไฟไหม้ จนฝ่ายก่อการต้องยอมแพ้
กรณี “กบฏแมนฮัตตัน” จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันให้กองทัพเรือต้องถอยออกไปจากวงจรอำนาจของการเมืองไทย
แต่ก็ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกองทัพอากาศในการเมืองไทย
และขณะเดียวกันก็ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการรวบอำนาจของกลุ่มทหารบกในการเมืองไทยที่ส่งผลให้นายทหารท่านหนึ่งในกองทัพบกกลายเป็น “ดาวจรัสแสง” ในเวทีการเมือง ได้แก่ พลตรีสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ยศในขณะนั้น และดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการมณฑลทหารบกกรุงเทพฯ)
ว่าที่จริงพลตรีสฤษดิ์มีบทบาทอย่างสำคัญมาตั้งแต่ครั้งปราบ “กบฏวังหลวง” ในเดือนกุมภาพันธ์ 2492 แล้ว การก่อเหตุและพ่ายแพ้ในครั้งนี้ถือเป็นการปิดฉากอย่างสมบูรณ์ของกลุ่มอาจารย์ปรีดีและกลุ่มเสรีไทยในการเมืองไทย
แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณในอีกด้านหนึ่งว่า กลุ่มทหารเรือซึ่งเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับกลุ่มอาจารย์ปรีดีจะเป็นภัยคุกคามต่อกลุ่มทหารบก
ดังนั้น การกวาดล้างจับกุมกลุ่มนายทหารเรือจากกรณีกบฏแมนฮัตตันจึงเป็นโอกาสให้กองทัพบกผลักดันจนอำนาจของกลุ่มทหารเรือในการเมืองไทยต้องยุติลง
สถานการณ์เช่นนี้ก็ยิ่งทำให้บทบาทของ พลโทสฤษดิ์ ธนะรัชต์ (ยศในขณะนั้น และดำรงตำแหน่งแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1) สูงเด่นยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะของผู้คุมกำลังทหารราบและทหารม้า ที่ใช้รถถังยิงถล่มที่มั่นของกลุ่มทหารเรือที่กองสัญญาณทหารเรือ จนได้รับชัยชนะ…
กำลังทหารเรือถูกย้ายออกไปอยู่นอกเขตเมืองหลวงที่อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี และกองสัญญาณทหารเรือที่ถนนวิทยุ ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเตรียมทหาร (ปัจจุบันคือสวนลุมไนท์บาร์ซาร์)
หลังกรณีกบฏแมนฮัตตันก็ยังมีความขัดแย้งดำรงอยู่ภายในกลุ่มผู้นำ แต่ก็แตกแยกเป็นขั้วทหารที่นำโดยจอมพลสฤษดิ์ และมีฐานที่มั่นหลักคือบ้านพักของผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นที่แยกเทเวศร์ หรือถูกเรียกกันว่าเป็น “กลุ่มสี่เสาเทเวศร์”
และขั้วตำรวจที่นำโดย พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ มีฐานหลักอยู่ที่บ้านพักของตระกูลชุณหะวัณที่ซอยราชครู หรือรู้จักกันในชื่อของ “กลุ่มราชครู”
ความขัดแย้งของผู้นำทหารและตำรวจชุดนี้จบลงด้วยวิธีการเก่าของการเมืองไทยด้วยการยึดอำนาจของกลุ่มทหาร โดยจอมพลสฤษดิ์ตัดสินใจล้มรัฐบาลด้วยการรัฐประหารในเวลา 23:00 น. ของคืนวันที่ 16 กันยายน 2500
ในขณะที่จอมพล ป. ในฐานะนายกรัฐมนตรีเองก็รู้ข่าวถึงการรัฐประหารที่จะเกิดขึ้น และได้เตรียมลงมือจับกุมจอมพลสฤษดิ์ในเวลา 24:00 น. ของคืนวันที่ 16 กันยายน เช่นกัน
มีคำอธิบายในภายหลังว่า ต่างฝ่ายต่าง “ถือฤกษ์” ที่แตกต่างกัน แต่ระยะเวลาที่แตกต่างกัน 1 ชั่วโมงนั้นก็เปลี่ยนโฉมหน้าของการเมืองไทย และทำให้จอมพลสฤษดิ์เป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้อำนาจของกองทัพบกในการเมืองมีความเข้มแข็งมากขึ้น และก็ชัดเจนยิ่งขึ้นอีกด้วยว่า ศูนย์อำนาจนั้นรวมอยู่กับตัวจอมพลสฤษดิ์ แต่เขาก็ป่วยและต้องเดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐอเมริกา
แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองหลังรัฐประหาร 2500 ที่กลุ่มทหารไม่สามารถควบคุมการเมืองในระบบรัฐสภาได้ จอมพลสฤษดิ์จึงตัดสินใจทำรัฐประหารครั้งที่ 2 โดยในช่วงเช้ามืดของวันที่ 20 ตุลาคม 2501 ได้มีการประชุมผู้นำทหาร และในช่วงเที่ยงของวันดังกล่าว พลเอกถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลลาออก และในเวลา 21:00 น. ของวันดังกล่าว จอมพลสฤษดิ์ก็ประกาศยึดอำนาจ
ผู้นำทหารหลังยุค 2500-2501 ล้วนแต่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมเป็นอย่างยิ่ง
ถ้ารัฐประหาร 2490 เป็นการปูทางให้แก่กลุ่มอนุรักษนิยมกลับเข้าสู่เวทีการเมืองไทยหลัง 2475… รัฐประหาร 2501 ก็คือการตอกย้ำให้การเมืองไทยทวีความอนุรักษ์มากยิ่งขึ้น ทั้งในมิติการเมืองภายในและภายนอก
และขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญระหว่างผู้นำทหารกับชนชั้นนำอนุรักษนิยม
เพราะหากปราศจากพลังอำนาจทางทหารแล้ว กลุ่มอนุรักษนิยมแบบเก่าจะหมดพลังไปตั้งแต่ยุคหลัง 2475 แล้ว
แต่ด้วยเพราะอำนาจทางการเมืองของกองทัพ พวกเขาสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้ไม่ยากนัก ไม่ว่าจะเป็นรัฐประหาร 2490 และตามมาอีกครั้งด้วยรัฐประหาร 2501
การผสมผสานอำนาจของกลุ่มทหารกับอำนาจของกลุ่มอนุรักษนิยมหลังรัฐประหาร 2501 ทำให้รัฐบาลทหารไทยเป็นตัวแบบของรัฐทหารเต็มรูป แม้จอมพลสฤษดิ์จะถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 8 ธันวาคม 2506 แต่ก็มีการสืบทอดอำนาจโดยพลเอกถนอม (ต่อมาได้รับพระราชทานยศเป็นจอมพล)
ดูเหมือนว่าความเปลี่ยนแปลงทั้งของโลกและของสังคมไทยจะท้าทายต่ออำนาจของทหารในการเมือง และต่อพลังอำนาจของอุดมการณ์อนุรักษนิยมในการบริหารจัดการการเมืองของประเทศ
ความท้าทายเช่นนี้เป็นเรื่องใหม่สำหรับผู้นำทหารเก่า พวกเขาคิดได้เพียงรับมือกับความท้าทายใหม่ด้วยวิธีการเก่าคือ ใช้กำลังทหารเข้าจัดการกับสิ่งที่ถูกถือว่าเป็น “ภัยคุกคาม” ไม่ต่างกับการใช้กำลังล้อมปราบในกรณีกบฏวังหลวง หรือกบฏแมนฮัตตัน
แต่ผลครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง สังคมไม่ตอบรับกับการใช้กำลังของทหาร การปราบปรามการชุมนุมของประชาชนในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 กลายเป็นการพ่ายแพ้ในตัวเอง หรืออย่างที่สำนวนภาษาอังกฤษกล่าวว่าเป็น “จุดเริ่มต้นของจุดจบ” (The beginning of the end) สำหรับรัฐบาลทหาร
แม้รัฐบาลทหารจะถูกโค่นล้มลง แต่กลุ่มพลังอนุรักษนิยมและอุดมการณ์ที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่รัฐประหาร 2490 กลับยังคงความเข้มแข็งในสังคมไทย
และจบลงด้วยเหตุการณ์นองเลือดในวันที่ 6 ตุลาคม 2519!