SearchSri : เก็บตกสถิติ พรีเมียร์ลีก 2017-2018

ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ลีกลูกหนังยอดนิยมอันดับ 1 ของโลก ประจำฤดูกาล 2017-18 พร้อมๆ กับตำแหน่งแชมป์สุดไร้เทียมทานของ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้”

ผลงานของเรือใบสีฟ้า กับบรรดา 5 ทีมคู่แข่งที่ต้องแย่งอันดับรองๆ ลงมา รวมถึงสถานการณ์การหนีตายในฤดูกาลนี้ทำให้พรีเมียร์ลีกคราวนี้มีเรื่องราวตื่นเต้นน่าติดตามมากมาย

รวมถึง “สถิติ” น่าตื่นตาตื่นใจที่เกิดขึ้นควบคู่กัน

ดังนี้

 

“7 สถิติสุดยอดของเรือใบ”

กุนซือ “เป๊ป กวาร์ดิโอล่า” พาแมนฯ ซิตี้คว้าแชมป์ด้วยคะแนนรวม 100 คะแนน มากที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก ทำลายสถิติเดิม 95 คะแนน ที่ “เชลซี” เคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 2004-2005

นอกจากนี้ ทีมเรือใบยังทำลายสถิติของพรีเมียร์ลีกอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น คว้าชัยชนะมากที่สุด 32 นัด (ทำลายสถิติ 30 นัด ของเชลซีฤดูกาล 2016-2017), ทำประตูมากที่สุด 106 ประตู (ทำลายสถิติ 103 ประตู ของเชลซี ฤดูกาล 2009-2010), เก็บชัยนอกบ้านมากที่สุด 16 นัด (ทำลายสถิติ 15 นัด ของเชลซี ฤดูกาล 2004-2005), ผลต่างประตูสูงสุด 79 ลูก (ทำลายสถิติ 71 ลูก ของเชลซี ฤดูกาล 2009-2010)

ทำแต้มห่างอันดับ 2 มากที่สุด 19 คะแนน (ทำลายสถิติ 18 คะแนน ของ “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ฤดูกาล 2009-2010)

และระยะเวลาที่โดนยิงประตูนำสั้นที่สุด 153 นาที (ทำลายสถิติ 170 นาที ของ “อาร์เซนอล” ฤดูกาล 1998-1999)

นอกจากนี้ ยังมีสถิติส่วนบุคคลของฟิล โฟเด้น กองกลางดาวรุ่งของทีมที่ทำสถิติแข้งอายุน้อยที่สุดที่ได้เหรียญแชมป์พรีเมียร์ลีก ขณะอายุได้ 17 ปี 350 วัน ทำลายสถิติเดิมของกาแอล คลิชี่ สมาชิกทีมปืนใหญ่ชุดไร้พ่ายฤดูกาล 2003-2004 ขณะอายุ 17 ปี 350 วัน

 

“จอมผ่านบอล”

ในเกมถล่ม “สวอนซี” 5-0 เมื่อเดือนที่แล้ว แมนฯ ซิตี้กลายเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถผ่านบอลกันได้เกิน 1,000 ครั้ง ในเกมเดียว นับตั้งแต่ “Opta” บริษัทเก็บสถิติวงการลูกหนัง เริ่มต้นเก็บสถิติมาเมื่อฤดูกาล 2003-2004

อย่างไรก็ตาม หากวัดเป็นตัวบุคคลแล้ว เจ้าของสถิติผ่านบอลสูงสุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกคนใหม่กลับเป็นของ “กรานิต ชาก้า” กองกลางอาร์เซนอล ซึ่งผ่านบอลรวมทั้งฤดูกาลถึง 3,117 ครั้ง

แต่ถ้านับเรื่องความแม่นยำเข้ามาเป็นส่วนเสริม “นิโคลาส โอตาเมนดี้” เซ็นเตอร์แบ๊กของซิตี้ที่ทำสถิติผ่านบอลมากเป็นอันดับ 2 รองจากชาก้า ผ่านบอลสำเร็จมากที่สุด รวม 2,825 ครั้ง

เหนือกว่าชาก้า 116 ครั้ง

 

“สัญญาณแห่งความเสื่อมถอย?”

ขณะที่ 6 ทีมหัวตารางขับเคี่ยวแย่งโควต้าบอลยุโรปกันอย่างเมามัน หันมามองสถานการณ์กลางๆ ตาราง กลับไม่เข้มข้นเท่าที่ควร

โดยฤดูกาลนี้ “นิวคาสเซิล” เป็นทีมอันดับ 10 หรือจุดแบ่งครึ่ง 20 ทีมในลีก มีแต้มรวม 44 คะแนน เป็นสถิติคะแนนต่ำสุดของทีมอันดับ 10 ทำลายสถิติเดิม 45 คะแนนที่ “เวสต์บรอม” ทำไว้เมื่อฤดูกาลก่อน

หากย้อนเก็บสถิติตั้งแต่สมัยพรีเมียร์ลีกลดจำนวนทีมเหลือ 20 ทีมเมื่อฤดูกาล 1995-1996 จนถึงปัจจุบัน ทีมอันดับ 10 จะมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 49 คะแนน แต่ถ้าวัดผลงาน 8 ฤดูกาลหลังสุด มีเพียงเชลซีฤดูกาล 2015-2016 (50 คะแนน) และนิวคาสเซิล ฤดูกาล 2013-2014 (49 คะแนน) เท่านั้นที่ทำแต้มถึงเกณฑ์เฉลี่ยดังกล่าว ผิดกับ 15 ฤดูกาลระหว่างปี 1995-2010 ที่มีทีมอันดับ 10 อยู่ 10 ทีมที่มีแต้มถึงเกณฑ์นั้น

สถิติดังกล่าวชวนให้คิดว่า ขณะที่ทีมหัวตารางพัฒนามาตรฐานได้สูสีขึ้น แต่ทีมกลางๆ ตารางกลับมาตรฐานต่ำลงหรือไม่? หรือเป็นเพราะทีมกลางตารางเองก็ฝีเท้าสูสีกันเช่นกัน ทำให้ต้องขับเคี่ยวแย่งคะแนนกันลำบากขึ้น?

 

“ยิงกระจุย”

“โมฮาเหม็ด ซาลาห์” ปีกชาวอียิปต์ประเดิมสนามให้ “ลิเวอร์พูล” ฤดูกาลแรก ด้วยการทุบสถิติดาวยิงสูงสุดของพรีเมียร์ลีกในยุค 38 นัด กับผลงาน 32 ประตู ทำลายสถิติเดิม 31 ลูกที่ 3 แข้งครองร่วมกัน ได้แก่ “อลัน เชียเรอร์” (แบล๊กเบิร์น 1995-1996), “คริสเตียโน่ โรนัลโด้” (แมนฯ ยูไนเต็ด 2007-2008) และ “หลุยส์ ซัวเรซ” (ลิเวอร์พูล 2013-2014)

นอกจากนี้ ความที่ “แฮร์รี่ เคน” ดาวยิงเมืองผู้ดีของ “ท็อตแนม ฮอตสเปอร์” ทำประตูมากเป็นอันดับ 2 ที่ 30 ลูก

ทำให้พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรก (ในยุค 20 ทีม) ที่มีนักเตะ 2 คนทำประตูได้ถึง 30 ลูกด้วย

 

“ที่สุดของความอึด”

นับเป็นครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีกที่ 3 ทีมเลื่อนชั้นเมื่อต้นฤดูกาล สามารถรักษาสถานภาพของตัวเองได้เล่นในลีกสูงสุดต่อไป

โดยนิวคาสเซิลจบอันดับ 10, “ไบรตัน” อันดับ 15 และ “ฮัดเดอร์สฟิลด์” อันดับ 16

ส่วน 2 ครั้งก่อนหน้านี้เกิดขึ้นในฤดูกาล 2001-2002 และ 2011-2012

ในแง่สถิติส่วนบุคคล มีนักเตะถึง 10 คนที่ลงสนามเล่นครบทุกนาทีของทุกเกมในฤดูกาลนี้ คิดเป็น 3,420 นาที

โดย 5 คนเป็นผู้รักษาประตู ได้แก่ “อัสเมียร์ เบโกวิช” (บอร์นมัธ), “ลูคัสซ์ ฟาเบียนสกี้” (สวอนซี), “โยนาส ลอสเซิล” (ฮัดเดอร์สฟิลด์), “จอร์แดน พิกฟอร์ด” (เอฟเวอร์ตัน) และ “แม็ต ไรอัน” (ไบรตัน)

ส่วนอีก 5 คน เป็นผู้เล่นเอาต์ฟิลด์ ได้แก่ “แจ๊กค คอร์ก” (เบิร์นลีย์), “ลูอิส ดังก์” (ไบรตัน), “มัตเธียส ยอร์เกนเซ่น” (ฮัดเดอร์สฟิลด์), “แฮร์รี่ แม็กไกวร์” (เลสเตอร์)

และอัลฟี่ มอว์สัน (สวอนซี)

 

“เวนเกอร์ลาแล้ว”

“อาร์แซน เวนเกอร์” กุนซือปืนใหญ่ ตัดสินใจโบกมือลาทีมหลังจบฤดูกาลนี้ หลังจากคุมทัพมายาวนานถึง 22 ฤดูกาล เริ่มต้นนัดแรกจากการทำทีมบุกคว้าชัยเหนือแบล๊กเบิร์น 2-0 ในปี 1996 ปิดฉากด้วยการบุกชนะฮัดเดอร์สฟิลด์ 1-0 ในนัดส่งท้ายฤดูกาลนี้

22 ปีที่ผ่านมา เวนเกอร์คุมทีมลงสนาม 1,235 นัดในทุกถ้วย คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 ครั้ง, แชมป์เอฟเอคัพ 7 ครั้ง ในจำนวนนี้เป็นการคว้าแชมป์ปีเดียวกันหรือ “ดับเบิลแชมป์” 2 ครั้ง โดยฤดูกาลที่น่าจดจำที่สุดคือการคุมทีม “ไร้เทียมทาน” ไม่แพ้ทีมใดเลยจนคว้าแชมป์ฤดูกาล 2003-2004

อย่างไรก็ตาม ผลงานช่วงปีหลังๆ ของเวนเกอร์เริ่มโรยรา โดยการปิดฉากอันดับ 6 ฤดูกาลนี้ถือเป็นอันดับแย่ที่สุดของอาร์เซนอลในยุคกุนซือชาวฝรั่งเศสเลยทีเดียว

ขณะที่ผลงานในบอลยุโรปมีแต่ความผิดหวัง เมื่อพ่ายให้ “กาลาตาซาราย” ในการดวลลูกโทษนัดชิงยูฟ่า คัพ ปี 2000 และแพ้ให้ “บาร์เซโลนา” ในรอบชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 2006

อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าระยะเวลาอันยาวนานในตำแหน่งกุนซือปืนใหญ่ เวนเกอร์ได้มีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมวงการลูกหนังอังกฤษด้วยสไตล์ฟุตบอลที่สวยงาม ตื่นเต้น เร้าใจ

และอีกหนึ่งสถิติที่มองข้ามไม่ได้ คือการคุมทีมลงเล่นเกมพรีเมียร์ลีกสูงที่สุดตลอดกาลถึง 828 นัด

…ที่แม้แต่เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ยังทำไม่ได้!