บทวิเคราะห์ : จับสัญญาณผ่าน “พลังดูด” ดัน “บิ๊กตู่” คัมแบ๊กนั่งนายกฯ

การเดินทางไปประชุม ครม.สัญจรของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ระหว่างวันที่ 7-8 พฤษภาคมที่ผ่านมา นับว่าประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย โดยเฉพาะในด้านการเมือง

จะเรียกว่าคุ้มเกินคุ้มก็คงไม่ผิด เพราะไม่มีจังหวัดใดที่ “บิ๊กตู่” ไปแล้วมีประชาชนมาให้การต้อนรับกว่า 3 หมื่นคนเหมือนที่ จ.บุรีรัมย์ เพราะการลงพื้นที่ทุกครั้งที่ผ่านมา “บิ๊กตู่” จะมีโอกาสพูดกับชาวบ้านอย่างมากไม่เกิน 3 พันคนเท่านั้น

คุ้มเพราะ “เสี่ยเน” นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด จับมือเพื่อนเลิฟ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้การต้อนรับแบบจัดเต็ม ไม่ให้เสียหน้าเจ้าภาพ ด้วยการเตรียม “บิ๊กไบก์” ที่ พล.อ.ประยุทธ์ชื่นชอบ ให้ทดลองขี่ในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ก่อนที่การแข่งขันโมโนจีพี จะเริ่มขึ้นในเดือนตุลาคมนี้

พรรคภูมิใจไทยเป็นอีกหนึ่งในเป้าหมายที่ “บิ๊กตู่” ต้องการดูด และการดูดพรรคนี้ ก็ไม่ยากเหมือนพรรคใหญ่ เนื่องจากเป็นพรรคขนาดกลาง ที่เงื่อนไขทางการเมืองไม่ได้ยากเหมือนกับพรรคใหญ่ สามารถดีลกับทุกฝ่ายได้เมื่อผลประโยชน์ลงตัว อีกทั้งพรรคขนาดกลางถือเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง

ยุทธการดูดพรรคภูมิใจไทย จึงไม่ต่างอะไรกับพรรคชาติไทยพัฒนาแห่งเมืองสุพรรณ ไม่ต่างจากพรรคพลังชลแห่ง จ.ชลบุรี เพราะไม่ใช่การเทกโอเวอร์พรรค แต่เป็นเพียงการขอแรง ร่วมเป็นกองหนุน

แม้ขณะนี้ยังไม่ชัดว่า “บิ๊กตู่” จะคัมแบ๊กมาในนามพรรคการเมืองใด มาในแบบนายกฯ คนใน หรือนายกฯ คนนอก

แต่กระนั้นก็มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า มีหลายพรรคการเมืองพร้อมชู พล.อ.ประยุทธ์หวนคืนเก้าอี้นายกฯ ของประเทศไทยอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐของ “ชวน ชูจันทร์” ประธานตลาดน้ำคลองลัดมะยม และ พ.อ.สุชาติ จันทร์โชติกุล อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่กำลังเดินเครื่อง รวมพละกำลังในทุกพื้นที่ทั่วไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน ที่คุยทั้งอดีตนักการเมือง นักการเมืองท้องถิ่น นักธุรกิจ และอดีตข้าราชการ

อีกส่วนที่ช่วย พล.อ.ประยุทธ์ เดินเกมดูดคือ นายทหารระดับสูงในกองทัพ โดยมีการทาบทามคนมากมายหลายวงการ เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในเวลาอันไม่ช้า

แต่ก็ไม่เร็วตามโรดแม็ปเดือนกุมภาพันธ์ 2562

อีกหนึ่งก๊กที่ฟอร์มทีมมาแน่ๆ คือทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดนี้ นำโดย “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ที่ชักชวนเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่าง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ และลูกศิษย์อีกจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น “อุตตม สาวนายน” รมว.อุสาหกรรม “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำการเมืองในโมเดลประชารัฐ ขณะนี้กำลังเดินสายพูดคุยกับผู้คนมากมายหลายวงการ

แนวคิดของ “สมคิด” ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นพรรคการเมืองใหม่ หรืออาศัยพรรคพลังประชารัฐของ “ชวน ชูจันทร์” เป็นฉากหน้า

แต่ “สมคิด” ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองนี้มีทหาร เขาไม่ต้องการให้เป็นพรรคของทหาร ที่มีภาพทหารติดตัวพรรค “สมคิด” ต้องการให้มีแต่นักบริหารและผู้เชี่ยวชาญด้านการเมือง

แต่เหตุผลที่นายสมคิดต้องเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อ หลักๆ คือเพราะต้องการสานนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งยังไปไม่สุดทาง บรรลุเป้าหมาย ส่วนเหตุผลรองลงมาคือ มองไม่เห็นอนาคตของประเทศไทย ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ไม่เป็นนายกฯ อีกสมัย

เพราะ “สมคิด” มองว่าแม้พรรคเพื่อไทย (พท.) จะจับมือกับประชาธิปัตย์ (ปชป.) จัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะใครจะขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม ทว่าสุดท้ายแล้ว ก็หนีไม่พ้นความวุ่นวายทางการเมือง อันจะนำไปสู่การรัฐประหารเช่นเดิม ดังนั้น เขาเบนเข็มมาเชียร์ “บิ๊กตู่” ดีกว่าให้ประเทศเสียโอกาส

แม้นายสมคิดจะออกตัวว่าหลังเลือกตั้งคงไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง หากจะทำหน้าที่เลี้ยงหลานตามความตั้งใจ แต่ในอนาคตนั้น เป็นเรื่องไม่แน่นอน เพราะต้องไม่ลืมว่า เกมการเมืองนี้ นายสมคิดช่วยรัฐบาล “บิ๊กตู่” อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู

นักการเมืองหลายคนเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาลนี้ได้ก็เพราะความสัมพันธ์แนบแน่นของ “สมคิด” ไม่นับรวมการเป็นมาสเตอร์มายผุดอีเวนต์การเมือง จัดกิจกรรมพบปะนักการเมือง ผู้นำท้องถิ่น ระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปประชุม ครม.สัญจรในภาคต่างๆ ด้วย

เหตุนี้จึงไม่ง่ายที่ “สมคิด” จะวางมือทางการเมืองเอาดื้อๆ

กองหนุน “บิ๊กตู่” ยังมีผู้สันทัดการเมืองอย่างกลุ่มบ้านริมน้ำ นำโดย “สุชาติ ตันเจริญ” อดีตรองประธานสภา ที่ผ่านดีลกับ “สมคิด” เรียบร้อยแล้ว

เวลานี้บ้านริมน้ำก้มหน้าก้มตาเดินสายพูดคุยกับนักการเมืองทั่วประเทศ

มีตารางที่จะไปพูดคุยกับอดีตนักการเมืองในจังหวัดต่างๆ เช่น จ.นครพนม อดีต ส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดิน นพ.อลงกต มณีกาศ และอีก 5-6 คน, จ.สกลนคร คุยกับอดีต ส.ว. นายดำเกิง วงศ์กาฬสินธุ์ และอีก 2 คน, จ.ขอนแก่น จะคุยกับอดีต ส.ส. คนดังอย่าง นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ และนายปัญญา ศรีปัญญา, จ.นครราชสีมา มีแผนคุยกับอดีตรัฐมนตรี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ และอดีต ส.ส. อีก 3 คน เป็นต้น

สอดคล้องกับที่มีรายงานข่าวว่า อดีต ส.ส.เหนือและอีสาน 24 คนสนใจร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ส่วนใหญ่เป็นรายชื่อที่บ้านริมน้ำเดินสายไปพูดคุยแล้วทั้งสิ้น อาทิ โคราช นายภิรมย์ พลวิเศษ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์, นายบัวสอน ประชามอญ อดีต ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เป็นต้น

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ตอนนี้ยังคงขะมักเขม้นเตรียมตัวเป็นนักการเมือง จับสัญญาณได้จากระยะหลัง “บิ๊กตู่” ต้องการสื่อออกไปให้ประชาชนรับรู้ในวงกว้างมากที่สุด จึงได้ใช้รายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” พูดประเด็นการเมือง

วันศุกร์ที่ 27 เมษายน พล.อ.ประยุทธ์กล่าวผ่านรายการนี้ ถึงเสียงวิจารณ์การดูดนักการเมือง โดยเข้าข้างตัวเองว่า การดูดนั้นมีมาช้านาน เป็นครรลองของประชาธิปไตยไทย และยังได้แง้มภาพรัฐบาลในอนาคต โดยบอกว่า

นักการเมืองวันนี้มีอยู่ 3 กลุ่มด้วยกัน 1.นักการเมืองใหม่ทั้งหมด 2.นักการเมืองเดิมที่คุณภาพ ซึ่งมาช่วยงาน 3.นักการเมืองเดิมๆ เมื่อเลือกตั้งก็จะเป็นแบบเดิมๆ ดังนั้น อาจใช้วิธีการผสมนักการเมืองกลุ่มที่ 1 และ 2 เข้าด้วยกัน

นั่นเป็นคำพูดภายหลังมีคำสั่งแต่งตั้ง “เสี่ยแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล เป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านการเมืองไปแล้วเพียงไม่กี่วัน

วันที่ 4 พฤษภาคม “บิ๊กตู่” ส่งสัญญาณอีกครั้ง ชงไอเดียเปลี่ยนฝ่ายค้านเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล นั่นเพราะ พล.อ.ประยุทธ์รู้ดีแก่ใจว่าเวทีการเมืองหลังเลือกตั้ง จะมีฝ่ายค้านเป็นปัญหาและอุปสรรค ทางเดินจะไม่ราบเรียบเหมือนทุกวันนี้ ดังนั้น จึงโยนหินถามทาง โดยให้เหตุผลว่า ห่วงบ้านเมืองจะเดินหน้าไปไม่ได้

กระทั่งต่อมาศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พล.อ.ประยุทธ์ร่ายกลอนการเมืองผ่านรายการ โดยบทกลอนนี้ได้บอกเล่าปัญหาในอดีต พร้อมขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคน ให้ช่วยกันทำเพื่อประเทศชาติ และรู้เท่าทันอันตรายของนักการเมือง

ยุทธการปูทางอยู่ในอำนาจต่อจะชัดขึ้นทุกขณะ เพราะพลังดูดกำลังเร่งเดินเครื่องเต็มกำลัง พร้อมกับความชัดเจนของ “บิ๊กตู่” ที่จะหวนคืนเก้าอี้ สร.1 แห่งทำเนียบรัฐบาลอีกครั้ง