ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18 - 24 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ต่างประเทศ |
เผยแพร่ |
กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย 1เอ็มดีบี ได้รับการคาดหมายว่าจะต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ
แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กองทุนกลับกระตุ้นให้เกิดการสอบสวนด้านกฎระเบียบและอาชญากรรมไปทั่วโลกที่ฉายสปอตไลต์พุ่งตรงไปยังผู้ทำข้อตกลงทางการเงิน งบประมาณด้านการเลือกตั้งและกลุ่มเส้นสายทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย
คณะกรรมาธิการของรัฐสภามาเลเซียชุดหนึ่งตรวจสอบพบว่ามีเงินจำนวนอย่างน้อย 4,200 ล้านดอลลาร์ที่ผ่านการทำธุรกรรมผิดปกติ
ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังเรื่องอื้อฉาวได้รับการเปิดเผย นาจิบถูกขับพ้นจากอำนาจ นับเป็นการยุติการปกครองของพรรครัฐบาลมายาวนาน 61 ปี
จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นบ้างหลังนาจิบแพ้การเลือกตั้งยังคงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้นำฝ่ายค้าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด โจมตีนาจิบว่าเป็น “ขโมย” หลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง มหาธีร์บอกว่าจะไม่เสาะหาการล้างแค้น แต่จะมีการนำหลักนิติรัฐมาบังคับใช้อย่างเต็มที่ “หากกฎหมายระบุว่านาจิบได้ทำสิ่งใดผิด เขาก็จะต้องรับผลของการกระทำที่ตามมา”
มหาธีร์ยังบอกด้วยว่า คิดว่าจะสามารถนำเงินส่วนใหญ่ของ 1เอ็มดีบีกลับมาจากนาซีร์ ราซัก น้องชายของนาจิบได้สำเร็จ
มหาธีร์บอกด้วยว่า 1เอ็มดีบีอาจมีบทบาทในวิถีทางที่ผู้คนลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้
ด้านนาซีร์ ประธานของกลุ่มซีไอเอ็มบีกล่าวว่า หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะทำด้วยความโปร่งใส
ขณะที่นาจิบยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด โดยกล่าวไว้ก่อนหน้าการเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ว่า 1เอ็มดีบีมีปัญหาด้านธรรมาภิบาล
แต่ “คุณไม่สามารถกล่าวหาใครได้ว่าเป็นโจรหรืออะไรอย่างอื่นนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้มีการกระทำผิด ผมยืนยันคำพูดนี้”
นาจิบยอมรับว่ามี “ความเสียหายทางด้านชื่อเสียงบางส่วน” ทั้งต่อมาเลเซียและรัฐบาลของเขาเอง
และพูดถึง 1เอ็มดีบีว่า “ผมไม่มีรูปแบบการทำธุรกิจเช่นนั้น แต่แน่นอนว่าผมจะทำให้แน่ใจว่ามีการควบคุมดูแลที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น พวกเราล้วนเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง”
1เอ็มดีบีเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อปี 2009 ภายใต้รัฐบาลของนาจิบที่ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาของกองทุน ความริเริ่มแต่แรกรวมถึงการเข้าซื้อโรงงานผลิตไฟฟ้าของเอกชนและวางแผนสร้างและพัฒนาย่านการเงินแห่งใหม่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์
แต่ 1เอ็มดีบีกลับพิสูจน์ให้เห็นว่ามีผลงานที่ดีกว่าในด้านการกู้ยืม โดยก่อหนี้สินสะสมรวมแล้ว 12,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าที่จะสามารถดึงดูดการลงทุนในระดับใหญ่โตได้สำเร็จ
คณะผู้สอบสวนพยายามที่จะแกะรอยว่าการไหลเวียนของเงินผ่านและรอบๆ 1เอ็มดีบีอย่างผิดกฎหมายไปสู่บัญชีส่วนตัวของใครบ้าง
บางส่วนของเงินถูกกล่าวหาว่าไปอยู่ในบัญชีของนาจิบและครอบครัว
นั่นรวมถึงเงิน 681 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เข้าไปอยู่ในบัญชีของนาจิบ จากคำกล่าวอ้างของอัยการสหรัฐ
อัยการสูงสุดของมาเลเซียที่ได้รับการสนับสนุนโดยทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินบริจาคจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียซึ่งส่วนใหญ่ได้รับคืนมาแล้ว
ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา (ดีโอเจ) ระบุว่าอันที่จริงแล้ว เงินก้อนนี้มาจากนิติบุคคลนอกอาณาเขต (ออฟชอร์) ทานอร์ ไฟแนนซ์ คอร์ป และส่วนใหญ่มีการคืนแล้ว
ขณะที่อีก 700 ล้านดอลลาร์ของ 1เอ็มดีบีที่ตั้งใจจะลงทุนในบริษัทร่วมทุนหรือจอยต์เวนเจอร์กับเปโตรซาอุดี อินเตอร์เนชั่นแนล กลับพบว่าไปอยู่ในบัญชีของบริษัทออฟชอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน
มีการสอบสวนกรณีที่เกี่ยวข้องกับ 1เอ็มดีบีอยู่ในอย่างน้อย 10 ประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ว่าจะมีการยักยอกหรือฟอกเงิน ที่มาเลเซียมีการสอบสวนที่พุ่งเป้าแคบลง
ขณะที่ดีโอเจของสหรัฐอเมริกาพยายามที่จะยึดสินทรัพย์มูลค่าราว 1,700 ล้านดอลลาร์ที่ดีโอเจระบุว่าได้รับมาโดยผิดกฎหมายผ่านการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของทรัพย์สินจาก 1เอ็มดีบีซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ งานศิลปะ เรือยอชต์ รวมถึงเงินทุนในการดำเนินการผลิตภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ วูลฟ์ ออฟ วอลล์ สตรีต” (มีการบรรลุข้อตกลงยอมความมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์กับทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์แล้ว)
สิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ได้กำหนดโทษปรับทางการเงินต่อธนาคารพาณิชย์บางแห่งสำหรับความพลาดพลั้งในด้านการควบคุมการต่อต้านการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินจาก 1เอ็มดีบี
ถึงตอนนี้ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) บอกว่าผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นพยานบางส่วนกลัวที่จะให้ปากคำกับผู้สอบสวนของสหรัฐเนื่องจากเกรงว่าจะตกอยู่ในร่างแหของการแก้แค้น
คงต้องจับตาดูว่ามหากาพย์อันยาวนานที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ เรื่องนี้จะเดินไปในทิศทางไหนต่อไป