มหากาพย์ “1 เอ็มดีบี” หลัง “นาจิบ” แพ้เลือกตั้ง

กองทุนเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย 1เอ็มดีบี ได้รับการคาดหมายว่าจะต้องดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ

แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กองทุนกลับกระตุ้นให้เกิดการสอบสวนด้านกฎระเบียบและอาชญากรรมไปทั่วโลกที่ฉายสปอตไลต์พุ่งตรงไปยังผู้ทำข้อตกลงทางการเงิน งบประมาณด้านการเลือกตั้งและกลุ่มเส้นสายทางการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก ของมาเลเซีย

คณะกรรมาธิการของรัฐสภามาเลเซียชุดหนึ่งตรวจสอบพบว่ามีเงินจำนวนอย่างน้อย 4,200 ล้านดอลลาร์ที่ผ่านการทำธุรกรรมผิดปกติ

 

ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกหลังเรื่องอื้อฉาวได้รับการเปิดเผย นาจิบถูกขับพ้นจากอำนาจ นับเป็นการยุติการปกครองของพรรครัฐบาลมายาวนาน 61 ปี

จะเกิดผลกระทบอะไรขึ้นบ้างหลังนาจิบแพ้การเลือกตั้งยังคงเร็วเกินไปที่จะบอกได้ ในระหว่างการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง ผู้นำฝ่ายค้าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด โจมตีนาจิบว่าเป็น “ขโมย” หลังจากที่เขาชนะการเลือกตั้ง มหาธีร์บอกว่าจะไม่เสาะหาการล้างแค้น แต่จะมีการนำหลักนิติรัฐมาบังคับใช้อย่างเต็มที่ “หากกฎหมายระบุว่านาจิบได้ทำสิ่งใดผิด เขาก็จะต้องรับผลของการกระทำที่ตามมา”

มหาธีร์ยังบอกด้วยว่า คิดว่าจะสามารถนำเงินส่วนใหญ่ของ 1เอ็มดีบีกลับมาจากนาซีร์ ราซัก น้องชายของนาจิบได้สำเร็จ

มหาธีร์บอกด้วยว่า 1เอ็มดีบีอาจมีบทบาทในวิถีทางที่ผู้คนลงคะแนนในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมานี้

ด้านนาซีร์ ประธานของกลุ่มซีไอเอ็มบีกล่าวว่า หวังว่าเรื่องทั้งหมดจะทำด้วยความโปร่งใส

 

ขณะที่นาจิบยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิด โดยกล่าวไว้ก่อนหน้าการเลือกตั้งไม่กี่สัปดาห์ว่า 1เอ็มดีบีมีปัญหาด้านธรรมาภิบาล

แต่ “คุณไม่สามารถกล่าวหาใครได้ว่าเป็นโจรหรืออะไรอย่างอื่นนอกเสียจากว่าจะมีหลักฐานชัดเจนว่าไม่ได้มีการกระทำผิด ผมยืนยันคำพูดนี้”

นาจิบยอมรับว่ามี “ความเสียหายทางด้านชื่อเสียงบางส่วน” ทั้งต่อมาเลเซียและรัฐบาลของเขาเอง

และพูดถึง 1เอ็มดีบีว่า “ผมไม่มีรูปแบบการทำธุรกิจเช่นนั้น แต่แน่นอนว่าผมจะทำให้แน่ใจว่ามีการควบคุมดูแลที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น พวกเราล้วนเรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง”

1เอ็มดีบีเป็นบริษัทเพื่อการลงทุนของรัฐบาลมาเลเซีย ที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาเมื่อปี 2009 ภายใต้รัฐบาลของนาจิบที่ต่อมาดำรงตำแหน่งเป็นประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาของกองทุน ความริเริ่มแต่แรกรวมถึงการเข้าซื้อโรงงานผลิตไฟฟ้าของเอกชนและวางแผนสร้างและพัฒนาย่านการเงินแห่งใหม่ในกรุงกัวลาลัมเปอร์

แต่ 1เอ็มดีบีกลับพิสูจน์ให้เห็นว่ามีผลงานที่ดีกว่าในด้านการกู้ยืม โดยก่อหนี้สินสะสมรวมแล้ว 12,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าที่จะสามารถดึงดูดการลงทุนในระดับใหญ่โตได้สำเร็จ

 

คณะผู้สอบสวนพยายามที่จะแกะรอยว่าการไหลเวียนของเงินผ่านและรอบๆ 1เอ็มดีบีอย่างผิดกฎหมายไปสู่บัญชีส่วนตัวของใครบ้าง

บางส่วนของเงินถูกกล่าวหาว่าไปอยู่ในบัญชีของนาจิบและครอบครัว

นั่นรวมถึงเงิน 681 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เข้าไปอยู่ในบัญชีของนาจิบ จากคำกล่าวอ้างของอัยการสหรัฐ

อัยการสูงสุดของมาเลเซียที่ได้รับการสนับสนุนโดยทางการซาอุดีอาระเบียระบุว่า เงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินบริจาคจากราชวงศ์ซาอุดีอาระเบียซึ่งส่วนใหญ่ได้รับคืนมาแล้ว

ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา (ดีโอเจ) ระบุว่าอันที่จริงแล้ว เงินก้อนนี้มาจากนิติบุคคลนอกอาณาเขต (ออฟชอร์) ทานอร์ ไฟแนนซ์ คอร์ป และส่วนใหญ่มีการคืนแล้ว

ขณะที่อีก 700 ล้านดอลลาร์ของ 1เอ็มดีบีที่ตั้งใจจะลงทุนในบริษัทร่วมทุนหรือจอยต์เวนเจอร์กับเปโตรซาอุดี อินเตอร์เนชั่นแนล กลับพบว่าไปอยู่ในบัญชีของบริษัทออฟชอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน

 

มีการสอบสวนกรณีที่เกี่ยวข้องกับ 1เอ็มดีบีอยู่ในอย่างน้อย 10 ประเทศ โดยพุ่งเป้าไปที่ความเป็นไปได้ว่าจะมีการยักยอกหรือฟอกเงิน ที่มาเลเซียมีการสอบสวนที่พุ่งเป้าแคบลง

ขณะที่ดีโอเจของสหรัฐอเมริกาพยายามที่จะยึดสินทรัพย์มูลค่าราว 1,700 ล้านดอลลาร์ที่ดีโอเจระบุว่าได้รับมาโดยผิดกฎหมายผ่านการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของทรัพย์สินจาก 1เอ็มดีบีซึ่งรวมถึงอสังหาริมทรัพย์ งานศิลปะ เรือยอชต์ รวมถึงเงินทุนในการดำเนินการผลิตภาพยนตร์เรื่อง “เดอะ วูลฟ์ ออฟ วอลล์ สตรีต” (มีการบรรลุข้อตกลงยอมความมูลค่า 60 ล้านดอลลาร์กับทีมงานผู้สร้างภาพยนตร์แล้ว)

สิงคโปร์และสวิตเซอร์แลนด์ได้กำหนดโทษปรับทางการเงินต่อธนาคารพาณิชย์บางแห่งสำหรับความพลาดพลั้งในด้านการควบคุมการต่อต้านการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับเงินจาก 1เอ็มดีบี

ถึงตอนนี้ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) บอกว่าผู้ที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นพยานบางส่วนกลัวที่จะให้ปากคำกับผู้สอบสวนของสหรัฐเนื่องจากเกรงว่าจะตกอยู่ในร่างแหของการแก้แค้น

คงต้องจับตาดูว่ามหากาพย์อันยาวนานที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ เรื่องนี้จะเดินไปในทิศทางไหนต่อไป