จรัญ พงษ์จีน : เมื่อ พรรค คสช. อาจไปให้สุด อย่าหยุดแค่ 4 ปี

จรัญ พงษ์จีน

“อํานาจ” เสพเข้ามากๆ นานๆ ไม่ว่าเขาผู้นั้นคือใครย่อม “ติด” เป็นธรรมดา เรื่องปกติแหละ แล้วข่าวล่ามาเรือ “คอนเฟิร์ม” ว่า “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” หัวหน้า คสช. นายกรัฐมนตรี ไม่ได้หนียะย่าย-พ่ายจะแจ ไม่ออก ตกล่องปล่องชิ้น เดินหน้าสู้ฟัด ตอบรับกลับมาเป็น “นายกรัฐมนตรีภาค 2”

แอสซิสต์มาตามช่องทาง “นายกฯ คนใน”

ตัดสินใจเด็ดขาดมาดมั่น หลังประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ 15 พฤษภาคม อนุญาตให้ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ที่ถูกวางตัวให้เป็นมือปฏิบัติ ดอดออกจากห้องทำงาน “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ผู้อยู่เบื้องหลังการประติมากรรม “พรรคใหม่”

แล้วตีกรรเชียงเข้าประตูลับดิ่งเข้าพบ “บิ๊กตู่” ที่ตึกไทยคู่ฟ้าในเวลาไล่ๆ กัน เพื่อ “รับปฏิบัติ ครับผม”

“พรรคใหม่” ถอดด้าม ที่ตัดสินใจเปิดซิง ส่งเทียบเชิญ “พล.อ.ประยุทธ์” อยู่ในบัญชีชื่อคนที่ 1 กันเรียบร้อยแล้วนั้น

มีนามตามท้องเรื่องดังที่ลือหึ่งกันเป็นตุเป็นตะมาก่อนหน้านี้ ชื่อ “พรรคพลังประชารัฐ” แต่อาจจะซิกแซ็กอะไรอีกนิดหน่อย เพราะ “ชื่อย่อพรรค”

ณ เบื้องต้น วางตัวบุคคลลงสู่ตำแหน่งใน “พลังประชารัฐ” ไว้หลวมๆ คือ

1. “อุตตม สาวนายน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นหัวหน้าพรรค

2. “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นรองหัวหน้าพรรค

3. “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นเลขาธิการพรรค

4. “กฤษฎา บุญราช” ขออภัยอย่างยิ่งที่ฉบับก่อนโน้น เขียนนามสกุลผิดเป็น “พวงราช” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นรองเลขาธิการพรรค

5. “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม มาร่วมเป็นกรรมการบริหารพรรค

6. มีรายการทาบทาม ส่งเทียบเชิญคนนอกอีกหลายรายมาร่วม อาทิ อดีตผู้ว่าฯ กทม. ศิษย์เก่า มช. ที่อาจจะได้รับ “งานใหญ่” อะไรบางตำแหน่ง กับ “สื่อมวลชน” ระดับแถวหน้า มาเป็นผู้อำนวยการพรรค

จะขับเคลื่อนเต็มตัวในเดือนมิถุนายน หลัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เชิญพรรคการเมืองมาร่วมชะตากรรม เพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะลงอวยตามที่ประกาศไว้ล่วงหน้าคือ เดือนกุมภาพันธ์ 2562 บวก 1

จากนั้น “สนธิรัตน์” ในฐานะเลขาฯ พรรค อาจจะต้องเสียสละลาออกจากตำแหน่ง รมว.พาณิชย์ ไปทำงานการเมืองเต็มตัว แล้วแต่ “ใบสั่ง”

สาเหตุที่ “บิ๊กตู่” ยังไม่ยอมสรุปว่าเอาหรือไม่เอาดี ก่อนหน้านี้ ทั้งๆ ที่ “ภาคปฏิบัติ” ที่สัมผัส และแสดงจากการประชุม ครม.สัญจร ที่เดินสายจัดมาแล้ว 9 จังหวัด ตีเนียนด้วยมาด “นักการเมือง” เต็มตัวตลอดมา

ที่สนามฟุตบอลช้าง-อารีนา บุรีรัมย์ ภาพที่คลอเคลีย นัวเนียกับเจ้าถิ่นที่ชื่อ “เนวิน ชิดชอบ” ถือว่าเวิร์กมากๆ ตัวไป ใจไม่อยู่แน่แล้วนั้น

แต่ที่ยังกึ๊กๆ กับกั๊กๆ ไม่ประกาศให้สะเด็ดน้ำ เกิดจาก “2 เจเนอรัล” คนหนึ่งรุ่นพี่ อีกคนรุ่นเพื่อน อยากให้ “บิ๊กตู่” ลงจาก “หลังเสือ” ซะในตอนนี้ เพื่อไม่ให้ “เสือกัด” เอาในภายภาคหน้า

แต่สุดท้ายแล้ว “พล.อ.ประยุทธ์” เลือกที่จะขับเคลื่อนต่อไป ภายใต้ข้อจำกัด บ้านเมือง “ยังไม่มีตัวเลือกใหม่”

 

“พรรคพลังประชารัฐ” มั่นใจในชัยชนะกับศึกเลือกตั้งครั้งใหม่ ต้นปี 2562 สะท้อนผ่านผลโพลที่สำรวจความนิยมของประชาชนออกมาทุกอาทิตย์ แค่ส่งหน้าม้าไปจดทะเบียนจัดตั้งพรรค ยังไม่ได้ฟอร์มทีมบริหาร ก็ “โดน” แล้ว กระแสไหลมาอยู่ลำดับที่ 2 แพ้ “เพื่อไทย” แต่ชนะ “ประชาธิปัตย์”

คิดตรรกะเชิงวิทยาศาสตร์ ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่เพราะ “นักเลือกตั้ง” ไหลมาเทมา ราวกับแม่น้ำสายใหญ่

เพอร์เฟ็กต์ สาแก่ใจมากที่สุด คือการตบเท้าเข้ามาร่วมวงไพบูลย์ของ “ยังเติร์ก” ค่ายประชาธิปัตย์ แบบยก “เจเนอเรชั่น” เรียงแถวกันมาเลย ทั้ง “สกลธี ภัททิยกุล” ตามด้วย “ชื่นชอบ คงอุดม”

ไม่น่าเชื่อว่าระดับ “ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ-พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์” และขนาดว่า “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” ก็มีชื่อว่าจะออเคสตร้า ยกพลขนกันมาอย่างเป็นทางการในไม่กี่วันข้างหน้า

จุดที่ทำให้ “พลังประชารัฐ” เนื้อหอม ใครต่อใครพากันแห่มาซบ “เงื่อนไขแรก” ดังที่ทราบกันแล้วว่า เกิดจากกรอบหรือกติการัฐธรรมนูญใหม่ ออกแบบมาเตะสกัดพรรคการเมืองใหญ่ เป้าหมายคือ “พรรคเพื่อไทย”

คุมกำเนิด ว่าด้วยการคำนวณหา “สมาชิกแบบบัญชีรายชื่อ” ซึ่งตอกฝาโลงไว้ด้วย “มาตรา 91” กำหนดฐานเพดานเป็น “คะแนนพึงมี” เอาไว้แบบ “เต็มตุ่ม” ได้ ส.ส. จากเขตเลือกตั้ง มากเท่าไหร่ สัดส่วน ส.ส. “บัญชีรายชื่อ” ยิ่งเหลือน้อย

“พรรคใหม่” ที่ชื่อ “พลังประชารัฐ” ไม่ได้ฝัน แต่ประมาณการในเบื้องต้นว่า ขณะนี้ยังไม่ได้สตาร์ตเครื่อง แต่กระแสร้อนแรง เรตติ้งพุ่งกระฉูดมาอยู่อันดับ 2-3 หายใจรดต้นคอประชาธิปัตย์

เสียงที่จะได้รับเลือกจากการเลือกตั้ง ตั้งตัวเลขกลมๆ ไว้ที่ 7 ล้านเสียง โอกาสที่นั่ง ส.ส. ทั้ง 2 ระบบ “เขตเลือกตั้ง-บัญชีรายชื่อ” 100 เสียง บวก-ลบ 10

สาเหตุที่คิดว่าตัวเลขจะเยี่ยมดีจังเลยขนาดนี้ เพราะมั่นใจว่า “เพื่อไทย” 4 ปีที่การเมืองเกิดสุญญากาศ พักเบรกนาน 4 ปีแล้วที่ไม่มีเลือกตั้ง เลยปากกัดตีนถีบ “ขาดคนดูแล” ทุกกองทัพเดินด้วยท้อง

นักเลือกตั้ง อดีต ส.ส.ค่ายเพื่อไทยตอนนี้พากันหมดแรงข้าวต้ม อ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตามๆ กันหลังประกาศวันเลือกตั้งในเดือนมิถุนายน ต้องดู “ก๊อกสอง” ว่าจะปล่อยของ มีทีเด็ด ซ่อนไพ่ไว้และนำมาหงายให้ดูชมได้หรือไม่

“ประชาธิปัตย์” สะเทือนซางมากกว่า เจอสภาวะสุญญากาศ ดีๆ ชั่วๆ มีเลือกตั้ง ได้เป็น “ฝ่ายค้าน” ยังพออาศัยกว่ามีเงินเดือน เบี้ยประชุม งบประมาณลงสู่จังหวัด สถานการณ์ความยากลำบาก ชั่วโมงนี้จึงไม่ต่างไปจาก “คนเพื่อไทย”

แต่ที่เจ็บมากกว่าเป็นไหนๆ “พรรคพลังประชารัฐ” เดินแรง มาแบบ “เศรษฐีใหม่” แบกเงินถุง พกเงินถัง ลือหึ่งว่า สี่ซ้าห้าหมื่นล้าน ปืนเลยลั่น ลูกพรรคประชาธิปัตย์จำนวนไม่น้อย ตกอกตกใจเสียง “กระสุน” เลยพากันแหกค่ายย้ายพรรคกันเป็นว่าเล่นดังที่เห็นๆ

“อนึ่ง” มีข่าวคลุกวงในว่า รัฐบาล “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เขี้ยวไม่เบา แสบไม่ใช่เล่น หัสเดิมจะหยั่งทิศทางลมการเมืองด้วยการเปิดให้มีการเลือกตั้ง “ท้องถิ่น” นำร่องดูไปก่อน

แต่ล่าสุด ปรับโปรแกรมเลือกตั้ง ส.ส. ก่อนเลือกตั้งท้องถิ่น

ขบโจทย์แตกว่า สนาม กทม. ปัจจุบัน เป็นหมูอยู่ในอวย ของตายในกำมือ

หากปล่อยให้มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ก่อน เกิดพรรค “เพื่อไทย” หรือ “ประชาธิปัตย์” ชนะขึ้นมา ฐานที่มั่นใหญ่ไปตกอยู่ในกำมือของฝ่ายตรงข้าม ตีโง่โดยเปล่าประโยชน์

เลยเตะถ่วงเอาไว้ ดึงอีกจังหวะไปเลือกหลังเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า

แถมมีข่าวคลุกวงในระบุว่า ก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่จะระเบิดเถิดเทิง

จะมี “ฟ้าผ่า” เสาชิงช้า โดนใครมั่งไม่รู้