ทวีปที่สาบสูญ ในโลกใบนั้น ยายกับฉัน เรายังหลับด้วยกันอยู่เลย

“มีอะไรกันหรือ!”

แม่ขึ้นมายืนหน้าประตูห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ได้ แต่สายตาที่มองเข้ามาภายในห้อง คล้ายจะกลับไปสู่หนึ่งเสี้ยว…เหมือนสักครั้งหนึ่ง ในบางวันที่ฉันไม่อาจเข้าใจ

ปิมปายังนอนหัวพาดกับตัก ใบหน้าซีดเซียวขาวเผือด และฉันก็ไม่อาจขยับตัวได้ง่าย

“อ้าว แล้วนั่นหลับหรือยังไง…หรือเป็นอะไร?”

แม่ล่วงเข้าประตูห้องมาจนได้

“ปิม…” แม่จับแขนขาวเขย่า “ง่วงนอนรึ มานอนอะไรกันตอนนี้”

“หนูปิม” ฉันก้มเรียกอีกแรง

ครู่หนึ่ง ร่างอุ่นก็ขยับ เปลือกตาค่อยๆ คลี่เปิด

“…พี่”

“ปิม” แม่เรียกเสียงดัง

และอาจเป็นหนนี้ ที่ทำให้เด็กหญิงพรวดพราดลุกขึ้น ใบหน้าเจื่อนซีดเสียยิ่งกว่าก่อนหน้า

“เป็นอะไร ไม่สบายหรือเปล่า”

มือแม่ยื่นออกไปอังหน้าผากทันที ปิมปาก้มหน้างุด

“ปละ…เปล่าค่ะ หนูแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย”

“ตะกี้ได้ยินเสียงพี่…”

“ไม่มีอะไรแล้วแม่” ฉันรีบตัดบทเสีย “ปิมคงง่วงน่ะ นี่ก็ง่วงเหมือนกัน”

“ลูกยังอ่อนเพลียนะสิ” แม่รีบพูด “งั้นไปกินข้าวก่อน จะได้นอนเร็วๆ แม่ทำแกงเอาไว้ ปิมก็มากินด้วยกัน”

“หนูไม่…”

“ไม่ต้องห่วงยายร่อยหรอก” แม่ว่า “เดี๋ยวจะแบ่งแกงให้เอากลับบ้าน ไป อย่าให้ต้องพูดหลายครั้ง!”

 

ในวงข้าว เกือบจะเป็นบรรยากาศอันคุ้นเคยเหมือนนานมา แสงไฟนีออนบนฝาส่องแจ้งสว่าง พ่อนั่งทิศตะวันออก ถัดด้วยพี่โฟ ตัวฉัน ปิมปา น้อง วนตามเข็มนาฬิกา จบลงที่แม่นั่งขวามือของพ่อ

ในขันโตกมีแกงไก่ใส่ใบเล็บครุฑหอมฉุย กับไข่ทอดอีกอย่างหนึ่ง ข้าวนึ่งคดลงในก่องข้าวน้อยอีกสองใบ ทำให้จกกินกันสะดวกขึ้น

น้องหน้ากลมแก้มยุ้ย ยิ้มแป้นแล้นแทะกินขาไก่อย่างเอร็ดอร่อย ส่วนพี่โฟก็จ้ำข้าวลงในน้ำแกงจนชุ่มก่อนจะเอาเข้าปาก

“ลำก่อ” แม่ถาม

“ลำขนาดอี่แม่” พี่โฟตอบ “เจ้าว่าตัวเก่าเยียะกิ๋นลำแล้ว อี่แม่ก่ยังเยียะลำกว่าอยู่ดี”

พ่อหัวเราะชอบใจ

“เข้าใจพูดนี่โฟ อย่างนี้ วันพูกคงมีของลำๆ ให้กินอีก”

“ข้าเจ้าบ่ได้พูดเอาใจ อีแม่มันมีพรสวรรค์ในการเยียะกิ๋นแท้ๆ”

“วันพรุ่งว่าจะตำน้ำพริกโสะ ใส่แมงอีหนิ้ว” แม่พูด “ถ้าได้ผักหนอกมากับก็จะเข้าท่าทีเดียว”

“จะไปยากอะไร พรุ่งนี้เจ้าจะไปเก็บเอง ทางทุ่งตะวันตกน่าจะมีปะเลอะ”

“แลงๆ ก็ได้ ไปกลางวันแดดมันร้อน” แม่ว่า

พี่โฟเหลียวไปมองหน้าแม่ สายตาราวไม่คาดฝัน

“อี่แม่จะตำกินมื้อใด”

“ทีแรกว่าจะกินตอนเช้า แต่ถ้าจะรอผักหนอก ตำกินตอนแลงก็ได้ ยังมีไข่ค้างฮางอยู่ กับพริกหนุ่มงามขนาด ตำน้ำพริกหอม ปิ้งจิ๊น ปิ้งไข่ ก็พอแล้วมั้ง”

“มื้อนี้ยังกินกันไม่ทันแล้ว อู้ไปถึงวันพูกวันมะรืน บ้านเรานี่หนา”

พ่อออกปากอย่างขบขัน

“ทำยังไงได้อี่พ่อ คนเราเกิดมาถ้าไม่เห็นแก่กิน จะเซาะสตางค์ไปนักหนาทำไม” พี่โฟว่า

แต่แล้วก็หัวเราะออกมาเสียเอง

“เออๆ ขอถอนคำพูดหน่อย ถ้าได้สตางค์นักๆ เจ้าก่อยากจะเอามาปลูกบ้านหลังใหญ่ๆ ให้อี่พ่ออี่แม่นี่แหละ”

แม่ยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจ

เหมือนไม่ใช่ความจริง…สิ่งที่เป็นอยู่บนเรือนขณะนี้ ท่าทีถ้อยทีถ้อยอาศัย อู้ม่วนจ๋าหวานใส่กัน มือปั้นข้าวลงจ้ำน้ำแกง แบ่งช้อนแบ่งจิ๊น พ่อหัวเราะอยู่เป็นระยะเช่นเดียวกับพี่โฟ ขณะที่แม่ก็คอยหยิบไก่ชิ้นที่มีเนื้อมากๆ ส่งให้น้องกับฉัน

มันไม่ใช่ความฝัน…หรือที่ผ่านมานั้น ฉันต่างหากที่ฝันไป

 

มีดวงดาวนับแสนล้านดวงบนท้องฟ้า ยามเมื่อเราแหงนหน้ามองขึ้นข้างบน และฉันก็อดทำเช่นนั้นไม่ได้ ยามเดินไปตามถนนมืดๆ

ไฟกิ่งถนนมีอยู่ห่างๆ แต่จากบ้านริมน้ำของพ่อแม่ไป ดูจะหลอดขาดเสียไปหมด และด้วยเหตุนั้นจึงอดไม่ได้จะตัดสินใจออกมาส่งเด็กผมขอด

ปิมปาหิ้วปิ่นโตที่มีเพียงสองห้อง ช่องหนึ่งใส่ข้าว อีกช่องใส่แกง แม่ให้เอาไปฝากยายร่อย

ตอนจะออกมา แม่ถามถึงสองครั้งว่า จะให้พ่อไปส่งแทนไหม หรือให้ปิมปาเดินกลับไปคนเดียวก็ได้กระมัง หนทางไม่ได้ไกล เพียงไม่กี่ก้าวก็ถึง

รู้ว่าแม่เป็นห่วง และตัวเองยังคงมีสภาพครึ่งหนึ่งเป็นคนป่วยไข้ แต่อาจดีก็ได้ หากมีโอกาสได้ทำอะไรๆ ที่เป็นการบอกได้ว่า ในไม่ช้าฉันก็จะต้องหายดี

แต่แล้ว เพียงอีกไม่กี่ก้าวจะย่างเข้าในเขตรั้วบ้านลุง ซึ่งในนั้นมีบ้านของยายร่อยอยู่ด้านใน ใจก็กระตุกวูบขึ้น

“เดี๋ยว หนูปิม”

“…คะ”

…กลิ่นอะไรสักอย่างหนึ่ง

เป็นกลิ่นที่คุ้นจมูกเหลือใจ แต่จะว่าใกล้ก็เหมือนไกล คล้ายรำเพยมากับสายลมแล้วแผ่วหาย

“อะไรคะ”

“หนูปิมได้กลิ่นอะไรมั้ย”

เด็กผมขอดชะงัก สูดลมหายใจเข้าบ้าง ก่อนจะส่ายหน้า

“ไม่นะคะ…กลิ่นอะไร”

แล้วหน้าเสียขึ้นมาทันที

“…ผีหรือคะ”

“บ้าน่าหนูปิม” ฉันดุเด็กหญิงออกไป “ผีเผออะไรที่ไหน…กลิ่นดอกไม้น่ะ คล้ายๆ ดอกเก็ดถะหวา”

 

มีต้นเก็ดถะหวาพุ่มใหญ่ อยู่ไม่ไกลเรือนยายร่อย แต่หากยืนหันหน้าออกหาถนนก็จะเห็นว่า ที่ใกล้กว่าคือเรือนของยาย

ในความมืดของหลายๆ ครั้ง ยังเหมือนจะจดจำได้ กับสีขาวๆ ที่ไสวอยู่ในมืด กลิ่นหอมเย็น และเสียงยาย

“เอาซ้ามาทางนี้ มาให้ยายใส่ดอก”

ซ้าคือตะกร้า สานจากหวายเส้นบางๆ ของรักของยาย ซึ่งหนักไม่น้อยเมื่ออยู่ในมือของเด็กคนหนึ่ง

แต่ทุกครั้ง ฉันก็ยังพอใจจะได้เป็นคนถือ

“ได้แล้วเจ็ดดอก ยายจะเอาไปบอกเทวดา”

ฉันเคยพูดกับยายเยอะๆ ไหม…กลับจำไม่ได้แน่ชัด ฉันอาจจะยังพูดไม่เก่งในตอนนั้น แต่จดจำคำพูดและสิ่งที่ยายบอกได้

จำได้อยู่เสมอ

“วันพูกเราไปทานขันข้าวกัน ยายจะทำให้พ่ออุ๊ยแม่หม่อนหกขัน อีกขันหนึ่งให้เทวบุตรเทวดา”

ฉันคงจะถามยายว่า แล้วทำไมไม่เก็บดอกไม้ตอนเช้า

“เผื่อเราจะลุกขวาย” ยายว่า แล้วก็หัวเราะ

นึกแล้วก็อดรักยายไม่ได้ รักอย่างเหลือเกิน คนที่ลุกขวาย คนที่ตื่นสาย คือตัวฉันเองต่างหาก

ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่ฉันไม่ยอมจะออกจากสะลีที่นอน และคนที่ตื่นก่อนไก่ขันมาตลอดชีวิต ก็กลับเป็นคนจับตัวฉันพลิกตะแคง เกาหลังให้

“งั้นก็นอนไปก่อน เป็นละอ่อนต้องนอนหลับแยะๆ ถูกแล้ว”

จากนั้น เราสองคนก็จะพากันหลับใหลไปจนตะวันส่องเข้าตา ซึ่งแม่กับคนอื่นๆ เสียอีก มักจะโวยวายว่ายายเอาใจฉันไม่เข้าเรื่อง ตามใจกันจนจะเสียคนสักวัน

แต่นั่นเอง เมื่อไหร่ที่ใครสักคนเริ่มต้นกล่าวถึงฉัน ยายจะออกรับหน้าทุกอย่าง และด้วยท่าทีแตกต่างเหมือนฝ่ามือกับฝ่าเท้า

“บ้านก็บ้านกู จะลุกจะตื่นกี่โมงก็เรื่องของกู ไม่ทันนึ่งข้าวก็ไปเอาโอวัลตินกินก็ได้!”

นั่นคือยาย…ร่างเล็กๆ เกล้ามวยผมปักปิ่น ยายที่ลักขายลูกหมูของแม่ตัวแล้วตัวเล่า เพื่อเอาเงินไปซื้อกาแฟกับโอวัลตินกินกับฉัน เงินอีกส่วนที่เหลือก็เอาไปเล่นพนันแทบเกลี้ยง

…ยาย

…นั่นคือกลิ่นดอกไม้ที่ปนอยู่กับกลิ่นผิวเนื้อยาย

มันไม่ใช่แค่กลิ่นดอกไม้เท่านั้น

“..พี่” ปิมปาเบียดตัวเข้ามา “ไปกันได้หรือยัง…”

ฉันยังคงมองฝ่าความมืดเข้าไป

กอเก็ดถะหวาเก่าอยู่ตรงโน้น…เคยอยู่ ตรงจากต้นมะปรางสูงใหญ่เข้าไป

 

“พี่คะ…”

ปิมปาเบียดตัวเข้ามามากกว่าเก่า

อาจด้วยฉันหยุดยืนอยู่นานเกินไป ซึ่งนั่นเพราะกลิ่นดอกไม้คล้ายจะวูบมาเป็นระลอก แล้วจากจางไป ก่อนจะรวยระรินกลับเข้ามาใกล้จมูกอีก เหมือนใครสักคนคอยหยิบยื่นช่อดอกมาให้

เยื้องกรายวนเวียนอยู่รอบๆ ตัว

น้ำตารื้น…มีความชื้นเกิดในอก สะทกสะท้อนใจจนบอกไม่ถูก

ปราศจากความกลัว เพียงแอบคิดว่า ไม่แน่หรอกนะ นี่ก็อาจจะยังเพียงแค่ความฝัน

พวกเราแค่ฝัน ว่าเรายังมีชีวิตกันอยู่ และในโลกใบนั้น ยายกับฉัน เรายังหลับด้วยกันอยู่เลย ในมุ้งใหญ่ๆ

…ในเรือนยกสูง

“พี่…”

“ไม่มีอะไรหรอกหนูปิม ไปกันเถอะ”

มือรั้งไหล่ของญาติพี่น้องเข้ามาใกล้ เพื่อจะผลักตัวเองให้เดินเข้าในบริเวณรั้วเก่าของลุง

ปิมปากลับเงยหน้ามองดูฉัน เห็นกันเพียงเลือนรางในความสลัว ตาฉันมัว พอจะรู้ตัวอยู่

มือเล็กๆ สอดเข้ามา แล้วบีบมือฉันเอาไว้

ไม่มีคำพูดสักคำ ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม เด็กผมขอดอาจกำลังพยายามปลอบใจตัวเองว่าจะต้องไม่กลัวผี แต่ไออุ่นที่ส่งผ่านมาในเวลาเช่นนี้ ก็ทำให้ฉันเกือบรู้สึกดี…เกือบอบอุ่นขึ้นมาวูบหนึ่ง