โลกหมุนเร็ว /เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง/ข้อเท็จจริงจากเอกสารชั้นต้น กรณีปฏิวัติพระนารายณ์ (2)

ประตูด้านทิศเหนือของนารายณ์ราชนิเวศน์ เชื่อมต่อกับถนนที่ตรงมาจากบ้านฟอลคอน

โลกหมุนเร็ว  เพ็ญศรี เผ่าเหลืองทอง  [email protected]

 

ข้อเท็จจริงจากเอกสารชั้นต้น

กรณีปฏิวัติพระนารายณ์ (2)

 

หนังสือ “ชิงบัลลังก์พระนารายณ์” ซึ่ง รศ.ดร.ปรีดี พิศภูมิวิถี ได้แจกให้ผู้เข้าร่วมเดินทางไปย้อนเวลาพา “ออเจ้า” ไปเฝ้าขุนหลวงนารายณ์ ที่เมืองละโว้ หรือลพบุรี เมื่อปลายเดือนเมษายน ได้ให้เรื่องราวต่างๆ ที่เก็บเอาไปคิดต่อได้ โดยเฉพาะในเรื่องวิถีทางการเมืองในสมัยนั้นว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ร้อยปี การเมืองก็ไม่หนีเรื่องเล่ห์เหลี่ยมยอกย้อน การวางแผนอันแยบยล เพื่อหาความชอบธรรมในการกระทำ เพื่อให้ผู้คนยอมรับ

และประวัติศาสตร์ที่เขียนเอาง่ายๆ เพื่อให้นักเรียนท่องจำ ก็มักทำให้ทั้งนักเรียนและคนทั่วไปในสมัยต่อๆ มาก็เชื่อเช่นนั้น จดจำเช่นนั้น

ต่อเมื่อได้อ่านเอกสารชั้นต้นแล้วผู้อ่านคิดวิเคราะห์ ก็เห็นความจริงระหว่างบรรทัดว่ามันน่าจะเป็นเช่นไร

พระเพทราชาอ้างความชอบธรรมในการโค่นบัลลังก์พระนารายณ์ว่าเพื่อปกป้องบ้านเมืองไม่ให้ตกอยู่ในเงื้อมมือฝรั่งเศส

แต่หนังสือ “ชิงบัลลังก์พระนารายณ์” เผยให้เราเห็นว่าเหตุผลที่แท้จริงคืออะไร และการดำเนินไปของแผนการอันยอกย้อนเป็นเช่นไร

 

นายพลเดส์ฟาร์จได้เล่าไว้ในหนังสือว่า “ในเดือนมีนาคม พระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรมากกว่าปกติ และมิได้ออกว่าราชการ พระปีย์ก็เริ่มหาสมัครพรรคพวก พระเพทราชาซึ่งคงจะได้คิดการมานานแล้ว และมีกลุ่มขุนนางอยู่ในมือ ได้รวบรวมไพร่พลรวมตัวกันในวัดวาอารามที่เมืองละโว้…เพราะว่าแม้จะไม่ได้ประกาศเจตนารมณ์แผนการ แต่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเองมิได้ปรารถนาสิ่งใด นอกจากการเก็บตัวอยู่แต่ในวัดกับภิกษุ”

แต่เบื้องหลังความเงียบ และการแสดงตัวว่า “ไม่ต้องการอะไร” พระเพทราชาเริ่มปูทางหาความชอบธรรมในเส้นทางการขึ้นสู่อำนาจ

“เพื่อให้ได้รับความร่วมมือร่วมใจ เขาจึงปล่อยข่าวลือไปทั่วราชอาณาจักรว่าชาวฝรั่งเศสได้เดินทางเข้ามาทำลายล้างพระราชวงศ์ พระศาสนา และวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ โดยว่าพระปีย์และเมอซิเยอร์ก็องสตองส์นั้นแลเป็นผู้วางแผน”

แผนการของพระเพทราชาได้ผล แม้แต่พระอนุชาทั้งสองพระองค์ของพระนารายณ์ซึ่งอยู่ในตำแหน่งที่จะได้รับสืบทอดราชสมบัติก็ยังเชื่อพระเพทราชา

 

เพื่อไม่ให้บุคคลหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาอยู่ด้วยกัน เพราะอาจเกิดความร่วมมือกัน

พระเพทราชาทำทุกวิถีทางที่จะแยกฝ่ายหนึ่งคือทหารและบาทหลวงฝรั่งเศส กับอีกฝ่ายหนึ่งคือเชื้อพระวงศ์ใกล้ชิดพระนารายณ์คือพระอนุชาและพระราชธิดา

เขาให้พวกฝรั่งเศสอยู่ที่บางกอก ส่วนพระอนุชาที่ว่าราชการอยู่ที่บางกอกเขาหว่านล้อมให้เดินทางมาละโว้ หลอกพระอนุชาที่ขณะนั้นว่าราชการอยู่ที่อยุธยาว่าพระเจ้าแผ่นดินที่ใกล้สวรรคตจะมอบราชสมบัติให้ พระอนุชาที่อยู่อยุธยานั้นได้จัดการอภิเษกเจ้าชายพระองค์หนึ่งขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่อยุธยาแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็หลงกลพระเพทราชาเดินทางมาที่ละโว้จนได้

ส่วนพระปีย์และฟอลคอนซึ่งเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดพระนารายณ์มากที่สุดและเป็นกลุ่มที่ไม่มี “ฐาน” ไม่มีพวก ก็โดนกำจัดก่อนเพื่อน

พระเทพราชาใช้วิธีหลอกให้ฟอลคอนเข้าเฝ้าฯ พระนารายณ์และเอาตัวไปจองจำอยู่ก่อน ไม่ได้ฆ่าทันทีเหมือนในละคร พระเพทราชายังโกหกกับพวกฝรั่งเศสว่าฟอลคอนคิดกบฏจึงต้องลงโทษ

หลังเกิดเหตุการณ์ความวุ่นวายต่างๆ และเมื่อเหตุการณ์สุกงอม พระเพทราชาก็กำจัดศัตรูทั้งหลายจนหมด รวมทั้งพระอนุชาซึ่งอยู่ในชุดสุดท้ายก็ถูกกำจัดเพียงวันเดียวก่อนพระนารายณ์สวรรคต

ผู้เดียวที่รอดคือนายพลเดส์ฟาร์จที่ตัดสินใจไม่เดินทางมาละโว้ แต่ยังคงรักษาที่มั่นที่ป้อมบางกอกไว้ และในที่สุดเขาก็เป็นตัวละครฝ่ายตรงข้ามพระเทพราชาคนเดียวที่มีชีวิตรอดมาได้ด้วยเหตุผลที่ว่าพระเพทราชาเกรงกลัวที่จะถูกล้างแค้นจากราชสำนักฝรั่งเศส

พระเพทราชาอ้างความชอบธรรมว่าแผ่นดินจะเป็นอันตรายจากการถูกฝรั่งเศสเข้ามายึดครอง แต่แล้วกลับปล่อยแม่ทัพฝรั่งเศสกลับประเทศไปเฉยๆ แสดงว่านี่คือข้ออ้างเท่านั้น

พระเทพราชาเป็นคนฉลาดสามารถขจัดเชื้อพระวงศ์ไปได้หมดโดยไม่มีใครต่อต้าน เพื่อกรุยทางไปสู่อำนาจด้วยการขจัดศัตรูจนหมด

เมื่อสั่งให้จับฟอลคอนก็อ้างว่าเพราะเป็นกบฏต่อราชอาณาจักร เมื่อจะขึ้นมาเป็นผู้นำก็บอกกับประชาชนว่าชาวฝรั่งเศสเดินทางเข้ามาเพื่อทำลายล้างพระราชวงศ์ หรือบอกพระอนุชาว่าให้รีบขึ้นมาที่ละโว้เพื่อรับมอบราชสมบัติ แล้วในที่สุดก็กำจัดพระอนุชาโดยอ้างว่าพระอนุชาจะกำจัดเขาก่อน

 

ทุกยุคทุกสมัย การเมืองที่ใช้วิธีการใส่ร้ายเพื่อกำจัดศัตรูไม่เคยเก่า เพราะมนุษย์มีจุดอ่อนเชื่อง่าย และโดยเฉพาะเมื่อผู้อยู่ในอำนาจและมีบารมีอย่างเสนาบดีใหญ่เป็นผู้อ้าง ก็ย่อมจะไม่มีใครหือ แม้แต่ปัจจุบันข่าวครึกโครมเรื่องการโค่นนายนาจิบ ราซัก ด้วยวิถีทางประชาธิปไตยแบบมาเลย์ โดยอดีตผู้นำเกือบจะตลอดกาลมหาธีร์สามารถคืนสังเวียนชนะเลือกตั้งกลับมาครองอำนาจใหม่และมีแผนนำนายอันวาร์ อิบราฮิม กลับมาภายหลัง 2 ปี

อันว่านายอันวาร์ก็เคยเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิมหาธีร์ แต่เกิดไปวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นครูอย่างมหาธีร์ จึงถูกมหาธีร์กำจัดไปด้วยการใส่ร้ายว่ามีเพศสัมพันธ์กับบุรุษด้วยกัน การกล่าวหานายอันวาร์ก็พูดลอยๆ โดยไม่มีคู่กรณี ไม่ได้บอกว่ามีเพศสัมพันธ์กับใคร มีจริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ก็สามารถจับนายอันวาร์เข้าคุกไปได้

นี่ก็อีกกรณีของการใส่ร้ายที่มาจากผู้มีอำนาจ ถึงจะแปร่งขนาดไหนก็ไม่มีใครกล้าหือ การใส่ร้ายจึงเป็นอาวุธที่ใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย

แต่ส่วนการหลุดจากอำนาจของนายนาจิบ ราซัก นั้นไม่เกี่ยวกับการใส่ร้าย เขาทำตัวของเขาเอง ก็เล่นทุจริตมากมายขนาดนั้น หลักฐานสาวได้ คงหนีไม่พ้นถูกลงโทษในไม่ช้า