MAGIC Of ‘เซาะกราว’

ถามว่าอะไรคือไฮไลต์ “ทางการเมือง” สำคัญที่สุดของการไปประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 7-8 พฤษภาคมที่ผ่านมา

หลายคนมอบให้จังหวะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขึ้นโพเดี้ยมปราศรัยต่อหน้าคนกว่า 3 หมื่นคน และแนะนำรัฐมนตรีและคณะทีละคน

จนมาถึงนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

พล.อ.ประยุทธ์ได้กล่าวว่า “ต่อไปเป็นทีมประชารัฐของรัฐบาล”

พร้อมกับเอ่ยชื่อ “อนุทิน” ออกมา ทำให้เจ้าตัวแทบจะลุกขึ้นยืนโชว์ตัวแทบไม่ทัน

และมีท่าทีแปลกใจกับการกลายเป็น “ทีมประชารัฐของรัฐบาล” อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

แต่จะบอกว่าไม่รู้ตัวมาก่อนเลยก็ไม่ได้

เพราะว่าไปแล้ว การประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์ : นครราชสีมา-ชัยภูมิ-บุรีรัมย์-สุรินทร์) ที่จัดขึ้นครั้งนี้

ถูกคาดหมายมาก่อนหน้าแล้วว่า

นี่คืออีเวนต์ทางการเมือง ระหว่างคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รัฐบาล และพรรคภูมิใจไทย

ที่จะโชว์ความเป็นหนึ่งเดียวกันทางการเมือง

“อนุทิน เป็นทีมประชารัฐ” จึงเป็นความตั้งใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ผู้ประกาศ

จึงไม่น่าแปลกใจที่นายเนวิน ชิดชอบ อดีตแกนนำพรรคภูมิใจไทยและประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ที่แม้จะบอกว่า “วางมือการเมืองแล้ว” จะมาคุมมวลชนที่สนามช้าง อารีน่า จ.บุรีรัมย์ 3 หมื่นคนด้วยตนเอง

แถมยังซักซ้อมกับมวลชนให้ตะโกนพร้อมเพรียงกันว่า “ลุงตู่ ลุงตู่”

เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายสำคัญ

นั่นก็คือ

“พวกเราตากแดดมาชั่วชีวิตในการทำงาน แต่จะตากแดดต้อนรับลุงตู่ไม่ได้หรือ คนบุรีรัมย์ตากแดดไม่นานเพื่อให้กำลังใจลุงตู่ได้อยู่แล้ว เพราะการที่ ครม. จะมาประชุมที่บุรีรัมย์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย 8-9 ปีมานี้เราเชียร์ฟุตบอลมาตลอด และได้แชมป์จนเบื่อ และวันนี้มาทำเพื่อจังหวัดอีกครั้ง

“ขอให้อดทนต่อแสงแดดและความร้อนเพื่อตอนนี้นายกฯ ลุงตู่ที่เดินทางมาบุรีรัมย์ และจะให้ส่งเสียงดังๆ เพื่อให้นายกฯ ลุงตู่อนุมัติงบประมาณลงพื้นที่บุรีรัมย์หมื่นล้าน ขอให้ร่วมกันให้กำลังใจ” นายเนวินประกาศ

ด้วยเหตุนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางมาถึง เสียงเชียร์ “ลุงตู่ ลุงตู่” จึงดังกึกก้องทั่วทั้งสนาม

นำความชื่นมื่นมาสู่ผู้นำรัฐบาลอย่างยิ่ง

“มาวันนี้รู้สึกตื่นเต้นและดีใจ โดยได้เห็นความเจริญของ จ.บุรีรัมย์เป็นไปในทิศทางที่ดี และยินดีที่ได้เห็นความรักของพวกเราชาวบุรีรัมย์ ที่คนบุรีรัมย์ไม่มีการทะเลาะขัดแย้งแบ่งสีเสื้อกัน เราจะต้องสร้างความเป็นหนึ่งเดียว เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง ตลอดเวลาที่เป็นนายกฯ มา 4 ปี ไม่เคยเห็นความขัดแย้งในบุรีรัมย์เลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมและคนทั้งประเทศต้องการ ขอให้รักษาเรื่องเหล่านี้ไว้ ร่วมมือกันทำทุกอย่าง บุรีรัมย์เป็นเมืองแห่งความรื่นรมย์ เมืองแห่งความสุข มีประวัติศาสตร์ยาวนานของอารยธรรมเขมรโบราณ คนทั่วโลกมาเยี่ยมชม”

เป็นคำหวานที่ พล.อ.ประยุทธ์หยอดกลับคืน

แต่ก็ได้ออกตัวว่าการมาวันนี้ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือต้องการให้ประชาชนมารัก

“เป็นเรื่องที่พูดยาก ใครจะไม่ชอบก็คือไม่ชอบ แต่ขอให้ไม่เกลียดก็พอ ที่ผ่านมาถือว่าเข้ามาทำให้แผ่นดินของเรา ทำหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน ซึ่งรัชกาลที่ 10 ถือว่าเป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูป พระองค์ทรงมีรับสั่งให้สืบสาน รักษาต่อยอด สืบเนื่องจากรัชกาลที่ 9 ที่ทรงริเริ่มเรื่องต่างๆ มามากมาย ประชาชนต้องช่วยกันตรงนี้ จึงขอให้ประชาชนช่วยกันฟังเรื่องโครงการไทยนิยมและขอให้ทุกคนรักกันเพราะบ้านเมืองจะอยู่ได้เพราะคนไทยทั้งประเทศ คนอยู่ต่างประเทศปล่อยเขาไป และรัฐบาลนี้ไม่ได้ปิดกั้นใคร”

แม้จะบอกว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง

แต่ก็อดพูดถึง “คนอยู่ต่างประเทศ” ที่ครั้งหนึ่ง นายเนวินก็เคยทุ่มเททำงานให้อย่างสุดจิตสุดใจ ในฐานะ “นาย”

ซึ่งวันนี้ได้กลายเป็นอื่น

และโฟกัสไปยัง “นายใหม่” ที่ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์

ซึ่งนอกจากการจัดให้ผู้นำรัฐบาลได้พบปะและปราศรัยต่อหน้ามวลชน 3 หมื่นคน อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนแล้ว

เมื่อรู้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ชื่นชอบมอเตอร์ไซค์ จึงไม่พลาดที่จะนำ พล.อ.ประยุทธ์เดินทางไปยังสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่อยู่ติดกัน

เพื่อตรวจเยี่ยมความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก สนามที่ 15 รายการ PTT Thailand Grand Prix ที่รัฐบาลใช้งบประมาณเข้ามาอุดหนุนด้วย

ทั้งนี้ เมื่อนายกรัฐมนตรีได้เยี่ยมชมนิทรรศการเกี่ยวกับรถจักรยานยนต์และการแข่งขันของสนามแล้ว

นายเนวินได้ให้ทีมงานจัดชุดเซฟตี้สำหรับการขับขี่รถจักรยานยนต์ หรือชุดนักแข่งรถมอเเตอร์ไซค์ให้กับ พล.อ.ประยุทธ์

พร้อมให้ทดลองขับขี่รถ Yamaha MT-09 Tracer ขนาด 900 CC รถแข่งแนวอเนกประสงค์ในสนามจริง โดยนายเนวินได้ร่วมขับขี่ Honda CB 1100 ทะเบียน 7 กฌ 6922 จำนวน 2 รอบสนาม สร้างความพึงพอใจให้กับ พล.อ.ประยุทธ์มาก

ในการนี้ นายเนวินได้นำหมวกกันน็อกลายไทยมอบให้กับนายกรัฐมนตรี

พร้อมกล่าวว่า “ขอให้ท่านนายกฯ ปลอดภัยจากสื่อและนักการเมือง สำหรับหมวกของผมไม่แข็งแรงเท่านี้เพราะผมไม่ต้องไปยุ่งกับสื่อและนักการเมือง”

พล.อ.ประยุทธ์ได้นำหมวกกันน็อกมาใส่พร้อมให้สื่อมวลชนถ่ายรูปก่อนที่จะทำท่าตั้งการ์ดขึ้นป้องกันตัวเอง

เป็นที่ถูกอกถูกใจคนที่อยู่ร่วมในโอกาสดังกล่าว

วันรุ่งขึ้น 8 พฤษภาคม ที่อาคารอเนกคุณาคาร มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ พล.อ.ประยุทธ์เป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครชัยบุรินทร์ : นครราชสีมา-ชัยภูมิ-บุรีรัมย์-สุรินทร์)

โดยได้รับข้อเสนอของรองประธานสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 5 ด้าน

1. ด้านการเกษตรและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร แก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง

2. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ขยายการคมนาคมทั้งทางถนน ทางอากาศ

3. ด้านการค้า การลงทุนและการค้าชายแดน เสนอโครงการก่อสร้างศูนย์ประชุมและแสดงนิทรรศการภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 โครงการก่อสร้างศูนย์รวบรวมตู้คอนเทนเนอร์ และเปลี่ยนโหมดขนส่ง Korat ICD โครงการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการก่อสร้างสนามบินสุรินทร์เพื่อการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว รวมไปถึงการศึกษาแผนแม่บทการพัฒนาเมืองใหม่นครราชสีมา

4. ด้านการท่องเที่ยว ประกอบด้วยโครงการสร้างพิพิธภัณฑ์ช้างดึกดำบรรพ์เฉลิมพระเกียรติ นครราชสีมา โครงการโลกของช้าง Elephant World จังหวัดสุรินทร์ โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์อ่า”เก็บน้ำห้วยจระเข้มาก จังหวัดบุรีรัมย์ โครงการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อการท่องเที่ยวรอบบึงละหาน โครงการพัฒนาและฟื้นฟูเหมืองหินอุตสาหกรรมเพื่อการก่อสร้างและการท่องเที่ยว บริเวณเขาพนมสวาย

และ 5. ด้านคุณภาพชีวิต

ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้มีการตรวจสอบข้อเสนอโครงการว่ามีความทับซ้อนหรือไม่ และข้อเสนอโครงการใดอยู่ในแผนการแล้ว ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปดำเนินการ และขอให้ดำเนินการตามลำดับความสำคัญ คำนึงถึงความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่จะได้รับเป็นหลัก

โดย พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงสรุปผลการประชุมว่า

“ที่ประชุม ครม.สัญจร เห็นชอบตามแผนพัฒนากลุ่มจังหวัดเภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (2560-2564) วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท

โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปพิจารณาความเร่งด่วนและสอดคล้องกับเแผนงานรัฐบาล

แต่อนุมัติโครงการเร่งด่วนตามความจำเป็น มูลค่าพันกว่าล้านบาท”

พล.อ.ประยุทธ์ออกตัวว่า การเดินทางมาประชุม ครม. ในครั้งนี้ไม่ใช่ลงมาเพื่ออนุมัติงบประมาณ 10,000-20,000 ล้าน อย่างที่มีการกล่าวอ้าง

เพียงแต่ช่วงนี้เป็นการเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง หลายคนจึงมองว่าเป็นงานการเมือง แต่ก็ต้องตรงกับแผนงานของรัฐที่วางไว้

ไม่ใช่ว่าลงมาแล้วเขาขออะไรรัฐบาลก็ให้โดยคิดไม่เป็น

ต้องดูว่างบประมาณเราเพียงพอหรือไม่ เราไม่ต้องการเอาเงินอนาคตมาใช้ เพราะจะมีปัญหาในเรื่องหนี้สาธารณะ

แต่กระนั้น เงิน 2 หมื่นล้านก็มากองเป็นความหวังให้กับคนบุรีรัมย์ และกลุ่มนครชัยบุรินทร์เรียบร้อยแล้ว

นี่ย่อมเป็น “เมจิก ออฟ เซาะกราว” ที่บังเกิดขึ้น ณ บุรีรัมย์ ไม่ว่า ณ สนามฟุตบอล หรือสนามแข่งรถ

แน่นอน ย่อมทำให้บทบาทของนายเนวิน ชิดชอบ นายอนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย โดดเด่นขึ้นอย่างมาก

เพราะสถานะของเนวิน-อนุทิน-ภูมิใจไทย มิได้ถูกดูดไหลเทให้ไปอยู่กับ “ลุงตู่” อย่างเซื่องๆ

หากแต่เป็นไปในลักษณะ “เจรจา-ต่อรอง”

การออกมาของชาวบุรีรัมย์กว่า 30,000 คน ว่าที่จริงมิได้สะท้อนบารมีและความนิยมต่อ พล.อ.ประยุทธ์ทั้งหมด

แต่เป็นบารมีของนายเนวินมากกว่า

ดังนั้น สัมพันธ์ทางการเมือง จึงมีลักษณะของการ “พึ่งพิง” กันและกันมากกว่า ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะสยบยอม

พรรคภูมิใจไทยเองก็รู้ว่า บทบาทของพรรคขนาดกลางของตนเอง มีสิทธิที่จะชี้ขาดว่าใครจะครองอำนาจในอนาคต

ดังนั้น ถึงจะอบอุ่นกับ คสช. และ พล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ยังให้มีระยะห่าง เพื่อการต่อรอง “ทางการเมือง” ด้วย

เช่นกัน พล.อ.ประยุทธ์ คสช. และรัฐบาล ก็คงรู้ไม่สามารถดูดได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด

จึงมีการดึงๆ งบฯ ที่คาดหวังไว้ระดับ “หมื่นล้าน” เอาไว้เช่นกัน

ไม่ยอมเป็นลูกไล่ของพรรคภูมิใจไทยเช่นกัน

แต่กระนั้น สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ไม่เคยประสบ โดยเฉพาะการยืนต่อหน้ามวลชนนับหมื่นๆ คน ย่อมนำมาสู่ความพึงใจมิน้อย

เพราะมันย่อมสร้างความฮึกเหิมให้กับ “ชัยชนะ” ในวันข้างหน้า

และวูบไหวไปกับ “เมจิก ออฟ เซาะกราว” ไม่น้อย

ถึงขนาดเคลมว่า นายอนุทินเป็นทีมประชารัฐของรัฐบาลเลยนั่นเทียว!!!