บทวิเคราะห์ : ม็อบโซเชียลฯ “เพจการเมือง”!! “สงครามไซเบอร์” ยุค 4.0 ทั้ง “รัก-ชัง” คสช.

พลัง “โซเชียลมีเดีย” ถือเป็นสิ่งที่ฝ่ายความมั่นคงให้ความสำคัญไม่น้อย เพราะหลายเรื่องก็ถูกผลักดันผ่านโซเชียลฯ จนทำให้เกิดความสำเร็จ เกิดคุณประโยชน์จำนวนมาก แต่ “เหรียญมี 2 ด้าน” แน่นอนโซเชียลO ก็เป็น “ดาบ 2 คม” เช่นกัน อีกทั้งถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการ “ข่าวสาร” หรือไอโอ (Information Operation) ด้วย

ในยุคนี้ใครๆ ก็ทำ “ไอโอ” ได้ โดยเฉพาะทางการเมือง ช่วง 4 ปีที่ คสช. เข้าบริหารประเทศ แน่นอนว่าเพจที่เกิดขึ้นจำนวนมาก คือ “เพจต้าน คสช.” ด้วยคำสั่ง คสช. และสถานการณ์ที่ปิดกั้นการแสดงออก มากกว่าในสถานการณ์รัฐบาลปกติ ทำให้พื้นที่การต่อสู้หรือเรียกร้อง ถูกผลักไปในโซเชียลแทน เพราะเป็นโลกแห่งร่างนิรนาม และการควบคุมทำได้ยาก

การเกิดขึ้นของเพจต่างๆ มีความน่าสนใจไม่น้อย เช่น เพจไข่แมว ที่นับได้ว่ามียอดคนกดติดตามจำนวนลำดับต้นๆ ของฝ่ายต้าน คสช. กว่าแสนแอ็กเคาต์ที่ติดตาม ล่าสุดอยู่ที่ 2.3 แสนแอ็กเคาต์

ต่อมา “เพจไข่แมว” ได้ปลิวหายไป หลังฝ่ายความมั่นคงเข้าไปสกัดกั้นการเข้าระบบได้ จึงเกิด “ไข่แมว X” ขึ้นมาแทน และทำการตลาด จำหน่ายสินค้าตัวการ์ตูนล้อเลียนการเมือง ที่คล้ายผู้นำประเทศ

อีกทั้งการเกิดขึ้นของเพจต้าน คสช.รัฐบาล ที่ใช้ชื่อเชิงประชดประชัน เช่น เพจกูต้องได้ 100 ล้านจากทักษิณแน่ๆ เป็นต้น ซึ่งในหลายเพจเองก็ใช้การประชดประชันในการต่อสู้ เพื่อเลี่ยงข้อกฎหมายที่จะเอาผิดได้ โดยเฉพาะเพจไข่แมว X ที่ใช้เป็นภาพตัวการ์ตูนให้ไปตีความเอง

แต่เพจกูต้องได้ 100 ล้านฯ จะโจมตีตรงๆ เน้นการใช้โวหาร หรือแสดงหลักฐานต่างๆ เช่น เอกสารราชการ เป็นต้น โดยมีจำนวนติดตามกว่า 2.2 แสนแอ็กเคาต์

ซึ่งเพจเหล่านี้มีการตั้งข้อสังเกตอว่ามีความเชื่อมโยงกัน อย่างน้อยแอดมินเพจเหล่านี้จะต้องอ่านหน้าเพจซึ่งกันและกัน เพื่อกำหนดแนวทางและทิศทางข่าวไปด้วย

เช่น การที่เพจกูฯ ได้เผยแพร่เอกสาร พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม บรรจุนายปฏิพัทธ์ จันทร์โอชา บุตรชาย ในตำแหน่ง รักษาราชการ นายทหารปฏิบัติการกิจการพลเรือน กองทัพภาคที่ 3 และแต่งตั้งยศเป็นว่าที่ร้อยตรี ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กระเทือนไปถึง “พี่ชายตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย

จนลุกลามไปเรื่องอื่นๆ ด้วยทั้ง “ฝายแม่ผ่องพรรณ” และการให้ลูกชายคนโตใช้บ้านพักในค่ายทหาร ทภ.3 จดทะเบียนตั้งบริษัท รับเหมาก่อสร้างด้วย ทำเอาสะเทือนไปทั้ง “จันทร์โอชา”

แต่เพจที่น่าสนใจ คือ “CSI LA” ที่โด่งดังตั้งแต่คดีเกาะเต่า ในการวิเคราะห์สิ่งต่างๆ อีกทั้งเพจแรกๆ ที่ออกมาแฉ “นาฬิกาหรู” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม รวมทั้งหมด 25 เรือน ที่อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่สำคัญเล่นแฉวันละเรือน มีทั้งรุ่น, ราคา, รูปภาพ แหล่งอ้างอิงรูปภาพ เล่นเอา พล.อ.ประวิตรช้ำไปไม่น้อย ที่สำคัญสื่อกระแสหลักก็นำรายละเอียดที่เพจนี้แฉไปอ้างอิงในหลายเรื่องด้วย

แน่นอนว่าเพจ CSI LA ดูแล้วมีความน่าเชื่อ เพราะมีการเรียบเรียงรายละเอียดที่ชัดเจน การใช้ศัพท์เทคนิค การจัดวางรูปต่างๆ พร้อมทั้งมีการตั้งข้อสังเกตว่าจะต้องเป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่อง “การสืบสวน-สอบสวน” พอสมควร และทำเป็นขบวนการ แม้จะมีการเปิดเผยชื่อแอดมินตั้งแต่สมัยคดีเกาะเต่าแล้วก็ตาม

ทำให้มีการ “ต่อจิ๊กซอว์” ไปอีกว่า ไม่ใช่ความ “บังเอิญ” หรือ “ดวงตก” ที่นาฬิกาและแหวนเพชรของ พล.อ.ประวิตรสะท้อนกับแสงพระอาทิตย์แล้วกระแทกตาสื่อ แต่ทุกอย่างถูกวางไว้แล้ว

รอแค่เพียงเวลาที่จะ “เล่นงาน” พล.อ.ประวิตรเท่านั้น ด้วยระบบการ “แฉ” ที่ทำเอาทุกคนต้องติดตามและลุ้นตามมา ซึ่งเพจ “CSI LA” มีผู้ติดตามกว่า 8 แสนแอ็กเคาต์

ทั้งหมดนี้จึงเป็น “พลังต่อรอง” ของฝ่ายต้าน คสช. แน่นอนว่าฝ่าย คสช. หรือสาวกคนรัก คสช. ก็ไม่นิ่งดูดาย ต้องทำเพจตีกลับ ซึ่งปรากฏการณ์ “เพจตีกลับ” มาแรงขึ้น ช่วงปี 2561 หลัง “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ออกมาสะกิดเตือน พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “กองหนุนลด” ในช่วง “เรตติ้งตก” และการประกาศตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเป็น “นักการเมืองที่เคยเป็นทหาร” ด้วย

ซึ่ง “เพจตีกลับ” เหล่านี้ จะใช้ชื่อทั่วไปหรือชื่อที่แสดงให้เห็นว่าเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ กับ คสช. โดยตรง

เช่น จับผีนักการเมืองถ่วงหม้อ, เดินตามลุงตู่หมาไม่กัด, สายตรงข่าวกรอง, ลุงตู่ FC, ทีมลุงตู่ เป็นต้น โดยในระยะหลังจะเป็นลักษณะการออกมาโจมตี “นักการเมือง” ค่ายดังๆ ทั้งพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือกลุ่มม็อบต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง โดยพยายามชี้ให้เห็นการโจมตีของกลุ่มการเมือง และชูว่า พล.อ.ประยุทธ์มาทำภารกิจเพื่อชาติ และเชียร์ให้เป็นนายกฯ ยาวๆ ซึ่งเป็นการทำอย่างเหนือชั้นขึ้นไปกว่าแต่ก่อน มีการทำกราฟิกภาพ การร้อยเรียงประเด็น การใช้สำนวน ภาษาต่างๆ ที่เป็นระบบมากขึ้น และมียอดผู้ติดตามหลายหมื่นแอ็กเคาต์ต่อเพจ

แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ที่ฝ่ายการเมืองเริ่ม “เป่าปี่ตีกลอง” ก็มีเพจวิเคราะห์การเมืองที่ไม่ได้โน้มน้าวไป “ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” เกิดขึ้นด้วย มีการ “ประเมินสถานการณ์” หรือ “โยนหินถามทาง” ด้วย

อีกทั้งฝั่งพรรคการเมืองก็บุกตลาดโลกโซเชียลO มากขึ้น ผ่านการจัดรายการผ่านเพจต่างๆ หรือมีเพจส่วนตัวที่ใช้สื่อสารกับฐานเสียง-ลูกพรรคโดยตรง เช่น พรรคภูมิใจไทย ผ่านเพจ Ringside การเมือง เป็นต้น

แม้แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ก็ปรากฏกายมากขึ้นและถี่ขึ้น โดยเคียงคู่นายทักษิณ ชินวัตร พี่ชายตลอด พร้อมกับครอบครัวและหลานๆ ผ่านโลกโซเชียลของคนในครอบครัว

หลังชิมลางครั้งแรก ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2561 กำลังช้อปปิ้งที่ลอนดอน ประเทศอังกฤษ เรื่อยมาถึงเดินเที่ยวที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และที่ประเทศสิงคโปร์ สอดรับกับสมมุติฐานก่อนหน้านี้ว่าเพื่อ “เป่าปี่ตีกลองเลือกตั้ง”

ซึ่งในระยะ 2 เดือนมานี้ ก็เปิดให้ ส.ส.เพื่อไทยบินไปพบอย่างชัดเจนด้วย

ฝั่งรัฐบาลก็เปิดหน้าชนชัด เปิดเพจ “สายตรงไทยนิยม” ขึ้นมา หลัง พล.อ.ประยุทธ์ปูพรมโครงการไทยนิยมยั่งยืน เคาะประตูระดับหมู่บ้าน จัดทีมกว่า 7,000 ทีม ลงรับฟังความเห็นประชาชน เพื่อนำมาสู่การแก้ไขในระยะเร่งด่วน 3 เดือนด้วย

ที่สำคัญได้กุนซืออย่างนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วางแผนเปิดตัว “เพจสายตรงไทยนิยม” ด้วยการนำคณะนักแสดงละครบุพเพสันนิวาส พบ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทยตามรอยประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย และด้านการผลิตสื่อส่งเสริมความเป็นไทย-ความรักชาติ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม ทำให้ยอดคนเข้ามากดติดตามวันเดียวนับหมื่นแอ็กเคาต์ และคนเข้ามาชมการไลฟ์สดกว่าแสนแอ็กเคาต์ด้วย ต่อด้วยการนำนักร้องสาวขวัญใจวัยรุ่น BNK48 มาเปิดตัวคลื่นวิทยุครอบครัวฯ ของกรมประชาสัมพันธ์ โดยมีการไลฟ์ผ่านเพจสายตรงไทยนิยมด้วย

ล่าสุดมาใช้ในการลงพื้นที่ จ.บุรีรัมย์ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่สนามช้าง อารีนา โดยมีชาวบุรีรัมย์มาต้อนรับกว่า 30,000 คน โดยลิงก์สัญญาณผ่านช่อง NBT

ที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับการชมนิทรรศการก่อนประชุมคณะรัฐมนตรีทุกวันอังคารเป็นอย่างมาก ทั้งการใช้เวลาและการจัดเตรียมของแต่ละหน่วยงานที่ลงทุนไม่น้อย ท่ามกลางกลุ่มและพรรคการเมืองที่ยังขยับตัวเองไม่ได้ เพราะคำสั่ง คสช. ที่ยังไม่ปลดล็อกพรรคการเมือง และห้ามชุมนุมเกิน 5 คนอยู่ด้วย

ทำให้ฝ่ายการเมืองออกมาโจมตี พล.อ.ประยุทธ์เอาเปรียบหาเสียงก่อนพรรคอื่น

ที่สำคัญเพจต่างๆ ของฝ่ายความมั่นคง ทั้งกองทัพและตำรวจก็แชร์ลิงก์ผลงานของรัฐบาลและวาทะเด็ดของ พล.อ.ประยุทธ์ บุคคลในรัฐบาล และ ผบ.เหล่าทัพ ที่เป็นวาทะเชิงบวกทำเป็นกราฟิก พร้อมการทำวิดีโอต่างๆ ด้วย

ซึ่งแต่ละเพจก็มียอดติดตามหลายพันแอ็กเคาต์ไปจนถึงหลายหมื่นแอ็กเคาต์

โดยมีการ “ทำเป็นระบบ” และช่วยกันแชร์ให้กระจายไปทั่ว

ถือเป็น “สงครามไซเบอร์” ที่น่าสนใจ ผ่านปฏิบัติการข่าวสารและจิตวิทยามวลชน นับจากนี้จะยิ่งมี “เพจการเมือง” ฝั่งต่างๆ มากขึ้น เพื่อใช้ต่อรองและขยายผลในระยะยาว และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากนัก สามารถกำหนดเนื้อหาสาระเองได้ และมีพื้นที่ไม่จำกัด อีกทั้งยังมีการตั้งกรุ๊ปผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ขึ้นด้วย ในการส่งข้อมูลต่างๆ ในกลุ่มและบุคคล

จึงเป็น “แพลตฟอร์มใหม่” ที่ทุกฝั่งการเมืองอย่าได้ประมาทถึงอานุภาพนี้

เปรียบเป็น “อวัยวะที่ 33” ของมนุษย์!!