รายงานพิเศษ/ทหารเสือฯ เพื่อ ‘แผ่นดิน’ ‘บิ๊กตู่’ ส่งสัญญาณ ลุยสมรภูมิการเมือง จับแรงกระเพื่อม เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 หยั่งเชิง ส่งบูรพาพยัคฆ์คุมทัพเหนือ

รายงานพิเศษ

ทหารเสือฯ เพื่อ ‘แผ่นดิน’

‘บิ๊กตู่’ ส่งสัญญาณ

ลุยสมรภูมิการเมือง

จับแรงกระเพื่อม เก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1

หยั่งเชิง ส่งบูรพาพยัคฆ์คุมทัพเหนือ

 

บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. พูดคำว่า “แผ่นดิน” ขึ้นในสถานการณ์การเมืองที่คุกรุ่นเช่นนี้ กำลังถูกมองว่าเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างไปสู่ประชาชนและนักการเมือง

ท่ามกลางกระแสการ “ดูด” อดีต ส.ส. นักการเมือง เข้าพรรคทหาร และเตรียมการสำหรับจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

โดยเฉพาะการประกาศที่กลางสนามช้างอารีน่า บุรีรัมย์ ว่า “แผ่นดินที่ทุกคนเหยียบอยู่นี่ เรียกร้องให้ผมทำให้ ซึ่งไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว เราต้องทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน สร้างคนดีให้กับสังคม”

พร้อมตอกย้ำว่า “วันนี้ผมทำเพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน”

รวมทั้งการกล่าวเทิดทูนรัชกาลที่ 10 ที่ทรงเป็นรัชกาลแห่งการปฏิรูปประเทศ

โดยได้เคยกล่าวในงานวันแรงงานแห่งชาติ มาก่อนแล้วครั้งหนึ่ง พร้อมระบุในตอนหนึ่งว่า ในอีก 5 ปีต่อจากนี้จะเป็นเวลาแห่งการปฏิรูปประเทศ ซึ่งอาจหมายถึง ใน 5 ปีข้างหน้าที่ตนเองจะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งก็ว่าได้

เหล่านี้คือการตอกย้ำว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำอยู่ทุกวันนี้ และรวมถึงในอนาคต ก็คือการทำเพื่อแผ่นดิน

พล.ต.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้
พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์
พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ

 

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปีใหม่ ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ นำม็อตโต้ประจำตัวที่ว่า “เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน” ขึ้นมาสะกิดย้ำ พล.อ.ประยุทธ์

จน พล.อ.ประยุทธ์ต้องหันมาย้ำกับ ผบ.เหล่าทัพ และ ครม. ว่า “อย่าลืมสัญญาที่เราจะต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดินให้ได้”

ไม่แค่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ยังเพิ่งแต่งเพลงที่ 6 ชื่อเพลง “สู้เพื่อแผ่นดิน” ออกมา เพื่อสื่อถึงความตั้งใจของตนเอง ในการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีมา 4 ปี

โดยเชื่อกันว่า คำว่าแผ่นดิน ของ พล.อ.ประยุทธ์ มีความหมายที่กว้างขวางและลึกซึ้งอย่างมาก

และน่าจะเชื่อมโยงกับท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ที่แสดงความชัดเจนในอนาคตทางการเมืองของตนเองมากๆ ขึ้น จนถึงการประกาศว่า “ผมเป็นนักการเมืองที่เคยเป็นทหาร”

รวมถึงการเดินหน้าตั้งพรรค และปฏิบัติการ “ดูด” และ “ดีล” นักการเมือง

ที่แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะยืนยันว่าไม่ได้ดูด แต่นักการเมืองติดต่อเข้ามาเอง รวมทั้งไม่เคยไปสัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์หรือโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี

แต่ก็สะท้อนได้ว่า นักการเมืองจำนวนไม่น้อยก็อยากที่จะร่วมทีมกับ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเพราะรับรู้ได้ถึงสัญญาณที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ส่งกระจายมาจากคำพูดต่างๆ

พล.ท.ธรรมนูญ วิถี
พล.ท.กู้เกียรติ ศรีนาคา
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ

 

แต่ก็น่าจับตามองที่ท่าทีของเสี่ยหนู อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนายเนวิน ชิดชอบ ที่แม้จะจัดการต้อนรับ พล.อ.ประยุทธ์ลงพื้นที่บุรีรัมย์อย่างยิ่งใหญ่ มีภาพร่วมเฟรมเคียงข้างชื่นมื่น แต่ก็ประกาศว่า ไม่ได้ถูกดูด แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะพูดอย่างมีนัยะว่า นายอนุทินเป็น “ทีมประชารัฐของรัฐบาล” ก็ตาม

ด้วยเพราะยังคงมีข่าวสะพัดอยู่ในระดับหนึ่งว่า นายอนุทินก็มีโอกาสที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งได้ แม้ว่าจะมี พล.อ.ประยุทธ์เป็นเต็งหนึ่งก็ตาม แต่ก็รู้กันดีถึงสายสัมพันธ์ต่างๆ ของนายอนุทินที่ก็ไม่ธรรมดา

เพราะหากสถานการณ์หลังการเลือกตั้งเปลี่ยน อาจไม่ใช่แค่ พล.อ.ประยุทธ์ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ แต่นายอนุทินก็มีโอกาสเช่นกัน

พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องเดินเกมกับนายอนุทินและนายเนวินอย่างระมัดระวัง เช่นเดียวกับการที่ต้องระมัดระวังในการขี่บิ๊กไบก์ที่บุรีรัมย์ โดยพยายามไม่ขับเร็ว แม้จะเป็นสนามแข่ง เพราะกลัวหลุดโค้ง เพราะถือว่าอันตราย เพราะตนเองไม่ค่อยได้ขี่ แม้สมัยเป็นนายทหารเด็กๆ สมัยเป็นทหารเสือราชินี จะขี่มอเตอร์ไซค์ทางยุทธวิธียิงปืนบ่อยๆ ก็ตาม

จึงไม่แปลกที่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์สะดุดพรมก่อนเดินขึ้นโพเดี้ยม จะพูดทีเล่นทีจริงว่า “ใครวางยา”

 

อาจเรียกได้ว่า แม้จะมี “ทีมดีล” ให้ก่อนหน้า แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็อาจจะยังไม่วางใจในนายเนวินเท่าใดนัก เพราะภาพเก่าๆ ในอดีตของนายเนวินกลับมาปรากฏชัด

ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์จะตั้งใจที่จะเอาแมวขาวและแมวดำมาอยู่ด้วยกัน โดยไม่กัดกันเอง และทำให้เป็นแมวสะอาดก็ตาม แต่ก็ใช่จะทำได้สำเร็จเสมอไป

ในระหว่างที่ พล.อ.ประยุทธ์กำลังเฟ้นหานักการเมืองน้ำดี ช่วยสร้างคนดีให้การเมือง แต่ก็วางใจได้ว่ากองทัพยังคงสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์อย่างไม่เสื่อมคลาย

ทั้งการที่บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. และเลขาธิการ คสช. ยืนยันว่ากองทัพจะยังคงสนับสนุน คสช. ในการนำพาประเทศต่อไป เช่นที่เคยทำมาแล้ว 4 ปี

เพราะกองทัพก็คือส่วนหนึ่งของ คสช. ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557

 

แต่กระนั้น แรงกระเพื่อมในกองทัพ ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนการเลือกตั้งก็ไม่อาจมองข้าม เพราะการแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ ส่งท้ายรัฐบาล คสช. หากจะมีการเลือกตั้ง 2562 ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ย้ำ

เพราะจะเป็นการเปลี่ยน ผบ.เหล่าทัพใหม่ทั้งหมด ทั้งปลัดกลาโหม ผบ.ทหารสูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. ผบ.ทอ. และระดับแม่ทัพภาค

ซึ่งในระดับหัวของเหล่าทัพ เริ่มมีความชัดเจนแล้วว่า ใครเต็งหนึ่ง เต็งสอง แต่ทว่า การต่อสู้แย่งชิงเก้าอี้ก็ส่อเค้าเข้มข้น เพราะคนที่เป็นเต็ง 2 ยังมีความหวัง และยังพยายาม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการโยกย้ายทหาร ที่จะจบก็ต่อเมื่อมีโปรดเกล้าฯ คำสั่งแล้ว

แต่เชื่อกันว่าบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พี่ใหญ่ จะจัดการได้ เพื่อส่งท้ายก่อนที่จะวางมือทางการเมืองไปอยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์

แต่ที่หวั่นไหวที่สุด เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร อาจจะไม่ใช่คนที่ตัดสินใจ

 

หลังบิ๊กบี้ พล.ต.ณรงค์พันธุ์ จิตต์แก้วแท้ ขยับจาก ผบ.พล.1 รอ. มาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 กระแสก็มาแรงจนใครๆ ก็ต้องหลบให้ เพราะเชื่อกันว่าจะเป็นแม่ทัพภาคที่ 1 คนต่อไป และจ่อขึ้น 5 เสือ ทบ. และเป็น ผบ.ทบ. ต่อจากบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผช.ผบ.ทบ.

จึงทำให้แคนดิเดตแม่ทัพภาคที่ 1 ที่เป็นเพื่อนเตรียมทหาร 22 ทั้งบิ๊กหนุ่ย พล.ท.ธรรมนูญ วิถี แม่ทัพน้อยที่ 1 และบิ๊กติ่ง พล.ต.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ รองแม่ทัพภาคที่ 1 ถูกจับตามองว่าจะขยับลงตำแหน่งไหนในการโยกย้ายกันยายนนี้ เมื่อเก้าอี้แม่ทัพภาคที่ 1 ถูกจองให้บิ๊กบี้แล้ว

เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เมื่อไม่ได้เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 แล้ว พล.อ.ประยุทธ์จะส่ง พล.ท.ธรรมนูญ ที่แม้จะเคยทำงานในชายแดนใต้ ลงไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 แทนบิ๊กอาร์ท พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช ที่กำลังจะเกษียณ 30 กันยายนนี้

ด้วยเพราะมีนายทหารรุ่นพี่ ตท.20 อย่างบิ๊กเดฟ พล.ท.พรศักดิ์ พูลสวัสดิ์ แม่ทัพน้อยที่ 4 จ่อคิวอยู่ แถมมีนายทหารในพื้นที่เป็นลูกหม้อ พร้อมเป็นตัวสอดแทรกอีกหลายคน

จึงอาจทำให้ พล.ท.ธรรมนูญถูกคาดหมายว่าอาจจะได้เป็นรองเสนาธิการทหารบก

แต่กระนั้นก็น่าจับตามองถึงการที่ พล.ท.ธรรมนูญได้รับมอบหมายภารกิจพิเศษ

หลังจากที่ได้รับมอบหมายงานหิน อย่างการจัดระเบียบ “คลองลาดพร้าว” ที่ต้องเจรจากับชาวบ้านที่สร้างบ้านรุกล้ำลำคลอง เพื่อให้ยอมไปอยู่บ้านที่รัฐบาลจัดสร้างให้อย่างสวยงาม ใช้เวลาราว 3 ปี จนเกือบจะเรียบร้อย จนตอนนี้กลายเป็น “สยามเวนิส” ที่สวยงาม เป็นระเบียบ น้ำสะอาดแล้ว

ตอนนี้ พล.ท.ธรรมนูญ ก็ได้รับมอบหมายงานหิน ในการจัดระเบียบคลองเปรมประชากรต่ออีก ซึ่งว่ากันว่า เป็นงานยากยิ่งกว่าคลองลาดพร้าว เพราะมีชุมชนรุกล้ำลำคลองกันมายาวนาน แถมคลองนี้ยาวไปตั้งแต่เขตดุสิต บางซื่อ จตุจักร หลักสี่ ดอนเมือง ออกปทุมธานี ราว 22 ก.ม. เลยทีเดียว

โดยจะเริ่มจากการที่จิตอาสาฯ จะไปลงพื้นที่เก็บขยะ ขุดลองคูคลอง ให้น้ำระบายได้ดี และสะอาดขึ้นก่อน เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม จนถูกจับตามองกันว่า ผลงานต่างๆ เหล่านี้จะทำให้สถานการณ์พลิกผันหรือไม่

 

ขณะที่ พล.ต.สันติพงศ์ นั้นรู้กันดีว่า เป็นน้องรัก พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอยู่ ร.21 พัน 2 รอ. มาด้วยกันยาวนาน และเคยถูกมองว่าจะเป็น ผบ.ทบ. ในอนาคต เพราะมีอายุราชการถึงกันยายน 2565

แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแน่นอน…

เพราะจากเดิมที่คาดกันว่าจะขึ้น พลโท แม่ทัพน้อยที่ 1 แต่ก็อาจจะเสียจังหวะ จนมีข่าวสะพัดในรุ่นว่า โยกย้ายครั้งหน้า จะมีการส่ง พล.ต.สันติพงษ์ ข้ามห้วยไปเสียบยอดเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 ต่อจากบิ๊กตี๋ พล.ท.วิจักขฐ์ สิริบรรสพ ที่จะต้องขยับขึ้นพลเอก ในโยกย้ายกันยายนนี้ ก่อนที่จะเกษียณกันยายน 2562

แต่ทว่าก็มีนายทหารรุ่นพี่จ่อขึ้นแม่ทัพภาคที่ 3 อยู่แล้ว โดยเฉพาะบิ๊กหยอย พล.ท.สมพงษ์ แจ้งจำรัส แม่ทัพน้อยที่ 3 นายทหารม้า ที่เป็นรุ่นพี่เตรียมทหาร 19

อีกทั้ง พล.ต.สันติพงศ์ นั้นไม่ได้เคยเติบโตมาในกองทัพภาคที่ 3 เลย แต่เป็นทหารเสือราชินี ที่เติบโตมาใน ร.21 รอ. และ พล.ร.2 รอ.

ที่เติบโตมาจาก ร.21 พัน 2 รอ. ตั้งแต่เป็นผู้หมวดปืนเล็ก จนเป็น ผบ.ร้อย และเป็น ผบ.ร.21 พัน 2 รอ. นานถึง 4 ปี ก่อนขยับเป็น ผบ.ร.21 รอ. ครบเทอม 3 ปี แล้วเป็นรอง ผบ.มทบ.14 รอง ผบ.พล.ร.2 รอ. ผบ.มทบ.11 แล้วกลับไปโตถิ่นกำเนิด ผบ.พล.ร.2 รอ. แล้วมาเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1

แต่แผนในการส่งทหารเสือราชินี หรือบูรพาพยัคฆ์ไปคุมภาคเหนือ นั่งแม่ทัพภาคที่ 3 ฐานที่มั่นของพรรคเพื่อไทย และตระกูลชินวัตรนั้น เคยมีมาก่อน ตั้งแต่จะส่งบิ๊กณัฐ พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ รองปลัดกลาโหม น้องรักบูรพาพยัคฆ์ของ พล.อ.ประวิตร ไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 มาครั้งหนึ่งแล้ว

หลังจากที่บิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผช.ผบ.ทบ. ขยับขึ้นแม่ทัพภาคที่ 1 เมื่อตุลาคม 2559 ส่วน พล.อ.ณัฐ ที่เป็นรองแม่ทัพภาคที่ 1 ในเวลานั้นจะขยับไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 3 แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะมีคนในอย่างบิ๊กเปี๊ยก พล.อ.สมศักดิ์ นิลบรรเจิดกุล ผช.ผบ.ทบ. นายทหารม้าลูกป๋า จ่อขึ้นแม่ทัพภาคที่ 3 อยู่ ในตอนนั้น พล.อ.ณัฐจึงต้องมาเป็นรองเสนาธิการทหารบก

แล้วก็เปลี่ยนเส้นทางเดินมาอยู่กลาโหม จนเป็นรองปลัดกลาโหม ทำงานเคียงข้าง ติดตาม พล.อ.ประวิตร จนทุกวันนี้

 

ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ พล.ต.สันติพงศ์ จะฝ่าดงนายทหารรุ่นพี่ และลูกหม้อ ข้ามไปเป็นแม่ทัพภาคที่ 3

และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาที่ลงที่เหมาะสมและไม่ทำให้เส้นทางรับราชการสะดุด จากเดิมที่ถูกวางตัวไว้เป็น ผบ.ทบ. ในแพ็กเกจที่ พล.อ.ประยุทธ์วางไว้ เพื่อรองรับอนาคต ที่เห็นกันชัดเจนมากขึ้นแล้วว่า พล.อ.ประยุทธ์จะอยู่ในสนามการเมือง

ท่ามกลางทุกสายตาในกองทัพ ที่จ้องมองไปที่ตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 1 คนใหม่นี้ เพราะจะเป็นสิ่งที่บ่งชี้อนาคตของกองทัพบก และกองทัพ ในเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ตำแหน่งคุมกำลังรบ ขุมกำลังปฏิวัติกลางกรุงแบบนี้

รวมทั้งทิศทางของกองทัพไทยทั้งหมด ที่ค่อยๆ ปรับเปลี่ยนไปในยุคของการเปลี่ยนผ่าน เปลี่ยนแปลง และปฏิรูป

อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด…