ยานยนต์ สุดสัปดาห์ /สันติ จิรพรพนิต/ฮอนด้า ซีวิค ‘แฮทช์แบ็ก’ อารมณ์สปอร์ต-ขับสบาย

สันติ จิรพรพนิต

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ สันติ จิรพรพนิต [email protected]

ฮอนด้า ซีวิค ‘แฮทช์แบ็ก’

อารมณ์สปอร์ต-ขับสบาย

ขายดิบขายดีอย่างน่าพอใจสำหรับ “ฮอนด้า ซีวิค แฮทช์แบ็ก” เก๋งสปอร์ต 5 ประตู ที่ทำตลาดควบคู่กับ “ซีวิค” ซีดาน เพิ่มเติมเต็มความต้องการของคนไทยที่โหยหารถลักษณะนี้ ซึ่งปกติจะขายอยู่ในเมืองนอกเท่านั้น

ซีวิค รุ่นล่าสุดถือว่าเป็นเจเนอเรชั่นที่ 10 แล้ว ออกแบบรูปร่างหน้าตาได้สปอร์ตโดนใจเหลือเกิน เรียกว่าเป็นหนังคนละม้วนกับเจนฯ ที่แล้ว ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรทำให้อายุการทำตลาดค่อนข้างสั้น

รูปลักษณ์ภายนอก ด้านหน้าใกล้เคียงกับซีวิค ซีดาน รุ่น 1.5 เทอร์โบ ออกแบบได้โฉบเฉี่ยว สิ่งที่แตกต่างคงเป็นกริลด้านหน้าซึ่งฝังไฟฟ็อกแลมพ์จะมีขนาดใหญ่กว่ารุ่นซีดาน และกันชนที่ดูเรียวบางกว่า

ฝากระโปรงหน้าลาดเทรับกับกระจกบังลมขนาดใหญ่สอดคล้องกับหลักอากาศพลศาสตร์

ไฟหน้าแบบ LED และไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวันแบบ LED

ช่องรับอากาศบริเวณกันชนหน้าดีไซน์สไตล์สปอร์ตรูปรังผึ้ง เส้นสายบนตัวถังพาดผ่านตั้งแต่ด้านหน้าตัวรถยาวไปบรรจบกับขอบไฟท้ายรูปทรงตัว C แบบ LED เช่นกัน

กันชนท้ายมีเหลี่ยมสัน พร้อมเพิ่มความโดดเด่นสะดุดตาในสไตล์สปอร์ตด้วยช่องระบายอากาศดีไซน์รูปรังผึ้ง ล้อกับด้านหน้า

ครึ่งตัวรถด้านหน้านั้นแทบแยกไม่ออกจากรุ่นซีดาน แต่ด้านหลังแตกต่างค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเส้นหลังคาที่ยกขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้รับกับด้านท้ายแบบแฮทช์แบ็ก

ภาพรวมต้องถือว่าดูสปอร์ตกว่าซีดานค่อนข้างเยอะ เนื่องจากตัวถังกว้างกว่า 30 มิลลิเมตร ขณะที่ความสูงต่ำลง 20 มิลลิเมตร แน่นอนว่าความยาวน้อยกว่าด้วย ทำให้ระยะโอเวอร์แฮงก์ด้านท้ายของตัวรถสั้น ให้อารมณ์ความสปอร์ต

 

การตกแต่งภายในบอกเลยว่ายกมาจากซีวิค ซีดานทั้งกระบิ ออกแบบภายใต้แนวคิด “Daring ACE Design” โดยยึดหลัก “Man Maximum, Machine Minimum” ให้ความสำคัญกับผู้ขับขี่และผู้โดยสารเป็นหลัก

ด้วยขนาดที่กว้างกว่าทำให้ดูโปร่งกว่ารุ่นซีดานเล็กน้อย เน้นโทนดำเพื่อความสปอร์ต แซมด้วยการตกแต่งอะลูมินั่มขัดลาย สีไฮเปอร์แบล็ก

พวงมาลัย 3 ก้านขนาดใหญ่จับกระชับมือแบบแร็กแอนด์พิเนี่ยนแบบแกนพิเนี่ยนคู่ พร้อมระบบเพาเวอร์ผ่อนแรงแบบไฟฟ้า มีระบบมัลติฟังก์ชั่น แผงด้านซ้ายควบคุมเครื่องเสียง โทรศัพท์ ฯลฯ ส่วนด้านขวาเป็นระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ

หลังพวงมาลัยเป็นแพดเดิลชิฟ หรือแป้นเปลี่ยนเกียร์ ไว้เพิ่ม-ลด เพื่อความสนุกในการขับขี่หรือเวลาต้องการเอนจิ้นเบรก

เรือนไมล์แบบดิจิตอลเป็นแบบช่องเดียว ไม่ใช่ 2 ชั้นเหมือน 2 รุ่นก่อนหน้านี้ แต่มีขนาดใหญ่เห็นเด่นชัดมากๆ ตรงกลางเป็นจอแสดงความเร็วรอบเครื่องยนต์ ส่วนความเร็วรถจะเป็นตัวเลขดิจิตอล

ขยับตรงกลางเป็นจอแสดงผลและเครื่องเสียงระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สาย (Bluetooth) และช่องเชื่อมต่อ USB ที่รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay

ด้านล่างแบ่งเป็น 2 ชั้น ด้านในมีพอร์ตเสียบยูเอสบีโดยสามารถร้อยสายออกมาด้านนอกดูเป็นระเบียบดี

คันเกียร์นี่ชอบมากดูบึกบึนแตกต่างจากรุ่นเก่าอย่างชัดเจน มีโหมด “S” หรือสปอร์ต ให้เลือกด้วยโดยลากลงมาต่ำสุด

ใกล้ๆ กันเป็นเบรกมือไฟฟ้า และปุ่มช่วยเบรกขณะลงทางลาดชัน และปุ่มขับประหยัด

 

เบาะนั่งเป็นหนังสบายดีโอบรับแผ่นหลังได้เหลือเฟือ ด้านคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง ออกแบบเรียวขึ้นคล้ายพีระมิด เพื่อเปิดมุมมองที่กว้างขึ้นให้ผู้โดยสารตอนหลัง ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเมื่อลองเข้าไปนั่งด้านหลังสามาราถมองผ่านกระจกหน้าได้โล่งๆ ไม่อึดอัดเท่าไหร่

ส่วนที่นั่งด้านหลังมีเฮดรูมอยู่พอสมควรเนื่องจากแนวหลังคาสูงขึ้นกว่าซีดานเล็กน้อย ที่ประทับใจไม่พ้นเบาะขนาดใหญ่ที่รองรับต้นขาได้พอดีๆ นั่งทางไกลไม่อึดอัด

จะมีที่ลำบากหน่อยน่าจะเป็นผู้โดยสารคนที่ 5 หากต้องมานั่งตรงกลางคงไม่สบายนัก เนื่องจากพื้นมีอุโมงค์ขนาดใหญ่ขวางอยู่ แถมที่เท้าแขนผู้ขับขี่ยังเยื้องมาด้านหลังอีก

เบาะหลังพับได้ 60-40 เพิ่มพื้นที่บรรทุก เพราะพื้นที่ว่างด้านหลังขนาด 414 ลิตร แคบกว่ารุ่นซีดาน แต่ก็ไม่ได้แคบจนน่าเกลียด รวมทั้งได้เปรียบตรงที่หากบรรทุกของขนาดใหญ่สามารถพับเบาะหลังได้นั่นเอง

อีกจุดที่ฮอนด้าออกแบบได้น่าชื่นชมคือแผงกั้นสัมภาระด้านท้ายเพื่อบังสายตาคนนอก ทำเป็นม่านดึงพาดขวาง หากไม่ใช้ก็รูดเก็บไว้ด้านข้าง ถือว่าสะดวกดี

พูดถึงที่เท้าแขนซ้ายของผู้ขับขี่มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย ฝาสามารถเลื่อนขึ้น-ลงได้ตามความถนัดและระยะแขนของผู้ขับขี่

 

ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร DOHC VTEC TURBO กำลังสูงสุด 173 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 220 นิวตัน-เมตร ที่ 1,700-5,500 รอบต่อนาที

ใช้เทคโนโลยีหัวฉีดไดเร็กต์อินเจ็กชั่น ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง พร้อมการออกแบบท่อไอดีแบบตรง และเทอร์โบชาร์จเจอร์ที่ช่วยอัดอากาศเข้าสู่ห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ได้เร็วขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเผาไหม้

ผลที่ได้คือมีกำลังเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 2.4 ลิตร แต่มีอัตราการประหยัดน้ำมันเทียบเท่าเครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร

ระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT 7 จังหวะ แบบใหม่ พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม

ระบบความปลอดภัยและสะดวกสบายมีเพียบ อาทิ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (VSA)  ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) และระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA)

รวมถึงระบบสตาร์ตเครื่องยนต์ พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมต (Engine Remote Start) สามารถสั่งการได้จากระยะไกลเพื่อช่วยอุ่นเครื่อง พร้อมปรับอุณหภูมิภายในห้องโดยสารให้เย็นสบายล่วงหน้าก่อนออกเดินทาง

 

กดปุ่มสตาร์ต เสียงเครื่องยนต์เข้ามาไม่มากนัก อัตราเร่งช่วงต้นถือว่าพอสมควรแต่อารมณ์แล้วรู้สึกว่าซีวิค ซีดาน รุ่น 1.8 จะได้เปรียบกว่านิดๆ

ส่วนเมื่อไล่รอบขึ้นไปเป็นความเร็วกลางและปลายถือว่ามาได้ทันใจ

เกียร์ทำงานไร้รอยต่อแต่มีความสนุกในรอบเครื่องสูงๆ เพราะมีอาการปรับรอบลงมาเล็กน้อยก่อนดีดกลับขึ้นไป ได้อารมณ์คล้ายเกียร์อัตโนมัติธรรมดา

ความเร็วระดับ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง รอบเครื่องค่อนข้างต่ำ แน่นอนว่าความประหยัดมาเต็ม

อารมณ์การขับขี่ต้องบอกว่าแทบไม่ต่างจากซีดาน ช่วงล่างใกล้เคียงกันมาก อาจทำให้บางคนที่ชอบอารมณ์แบบรถสปอร์ตที่ช่วงล่างแข็งนิดๆ อาจไม่สบใจนัก

แต่เรื่องความมั่นใจเวลาเข้าโค้งหรือกระชากเปลี่ยนเลนหายห่วงครับ ยิ่งตัวรถต่ำและกว้างขั้น แถมท้ายยังสั้นอีก เวลาซิกแซ็กเปลี่ยนเลนง่ายขึ้น

ส่วนใครอยากสนุกกับรอบเครื่องที่จัดขึ้น ลากเกียร์จาก “D” ลงมาที่ “S” อัตราเร่งจะกระชับมากขึ้น

เสียงเครื่องยนต์-เสียงลมที่เข้ามาอาจได้ยินบ้างในระดับหนึ่ง แต่เครื่องเสียงที่ติดมากับรถเกินพอที่จะลดความรำคาญลงได้

พูดตรงๆ ว่าบอกยากหากเทียบกับรุ่นซีดาน เพราะใกล้เคียงกันมาก แต่ที่ได้มาแน่ๆ คือความสปอร์ต ส่วนจะคุ้มหรือไม่กับราคา 1,169,000 บาท

ต้องลองไปทดสอบขับดูครับ