3 ก๊ก “อักษรา-บิ๊กอาร์ต-มือทำงานลับ” “ศึกใน” โหมไฟใต้??!!

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพิ่งประกาศพื้นที่นำร่อง “เซฟตี้โซน” อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส จากการชงเรื่องของคณะทำงานด้านเทคนิค คณะพูดคุยเพื่อสันติสุข นำโดย “บิ๊กโบ้” พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าชุดพูดคุยฯ ฝ่ายไทย และนายสุกรี ฮารี หัวหน้าชุดพูดคุยฯ ฝ่ายมาราปาตานี

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทราบดีว่า หากประกาศพื้นที่นำร่อง ผลลัพธ์อาจตามมาด้วยการ “จุดพลุ” ในพื้นที่ของกลุ่มผู้ก่อเหตุ เพื่อแสดงนัยยะการไม่ยอมรับ ซึ่งนายกฯ ได้แทงกั๊กว่าถ้ามีเหตุการณ์ความไม่สงบ ก็อาจมาจากกลุ่มที่ไม่ได้ร่วมขบวนการพูดคุย

ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่า การเลือก อ.เจาะไอร้อง มีสองเหตุผล กรณีแรก ฝ่ายมาราปาตานีเป็นผู้เลือกเอง โดยให้เหตุผลว่า “จุดเริ่มต้นการเกิดเหตุ เกิดขึ้นที่นี่ ก็ต้องเริ่มจากที่นี่” นั่นคือเหตุการณ์ปล้นปืนค่ายปิเหล็ง ที่ อ.เจาะไอร้อง เมื่อปี 2547

กรณีที่สอง การที่กลุ่มมาราปาตานีเลือก อ.เจาะไอร้อง เพราะก่อนหน้านี้ไม่สามารถเข้าไปมีอำนาจหรือสั่งการได้ เนื่องจากเป็นพื้นที่อ่อนของกลุ่ม

ฝ่ายความมั่นคง ระบุอีกว่า ระยะแรกนี้ จะเป็นการ “วัดใจ” กลุ่มมาราปาตานี เรื่องการทดสอบการ “หยุดยิง” ในพื้นที่ โดยใน “เซฟตี้โซน” นั้น แม้กำลังทางทหารยังคงต้องคุ้มครองพื้นที่ แต่อาจลดปฏิบัติการเชิงรุกลง เช่น ปิดล้อม ตรวจค้น ตั้งด่าน

ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา มีกระแสข่าว “ความสัมพันธ์ร้าวฉาน” ระหว่าง “บิ๊กโบ้” พล.อ.อักษรา กับ “บิ๊กอาร์ต” พล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 จนทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเรียกสองฝ่ายมา “เคลียร์ใจ” ขณะลงพื้นที่ จ.ปัตตานี เมื่อวันที่ 4 เมษายน หลังต่างฝ่ายต่างให้ข่าวไปคนละทิศทาง

โดยได้รับการยืนยันต่อมาว่า ทั้ง “บิ๊กโบ้” และ “บิ๊กอาร์ต” ไม่ได้มีอะไรขัดแย้งกัน ไม่มีดราม่า พล.อ.อักษรา เป็น ตท.14 ส่วน พล.ท.ปิยวัฒน์ เป็น ตท.18 จึงถือว่า พล.อ.อักษรา อาวุโสกว่า

เหตุ “ดราม่า” ระหว่างสองบิ๊กทหารเกิดขึ้นหลัง “บิ๊กโบ้” เปิดเผยว่า กำลังกำหนดพื้นที่ปลอดภัยนำร่อง 1 อำเภอ และจะมีการตั้ง “เซฟเฮ้าส์” ในพื้นที่

ส่วน “บิ๊กอาร์ต” ระบุว่า ได้ทำ “เซฟตี้โซน” ทั้งหมด 14 อำเภอไว้นานแล้ว และทำแบบเงียบๆ ไม่ได้ออกมาเปิดเผยว่าเป็นพื้นที่ใดบ้าง เพราะเกรงจะเป็นการ “กระตุ้น” การก่อเหตุขึ้นได้ จึงย้อนแย้งกับ “บิ๊กโบ้” ทันที

เรื่องนี้ทำให้ “คนกลาง” อย่าง “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. หนักใจไม่น้อย เพราะ พล.อ.อักษรา เป็นที่ปรึกษานายกฯ ถือเป็นบุคคลที่ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้วางใจใกล้ชิด

ด้าน พล.ท.ปิยวัฒน์ เองก็เป็น “ลูกน้อง” โดยตรง และมี “ผู้สนับสนุน” คนสำคัญด้วย อีกทั้งได้อาสาทำงานภาคใต้ เป็นแม่ทัพภาคจนเกษียณ ไม่ขอขึ้น “พล.อ.” ในตำแหน่งอื่น

“ผมเข้าใจดีว่า แม่ทัพภาคที่ 4 ทำงานหนัก ตั้งใจทำงาน แต่ก็บอกแม่ทัพภาคที่ 4 ไปว่าบางเรื่องก็ต้องมีเดินข้างบน และเดินข้างล่างบ้าง ก็ทำงานกันไป เพื่อเป้าหมายเดียวกัน และบางเรื่องก็ไม่ควรพูดผ่านสื่อ” พล.อ.เฉลิมชัยกล่าว

“แม่ทัพแต่ละคนก็มีจุดเด่นคนละแบบ ก็เอาจุดดีมาใช้ และจากการดูสถิติ ความรุนแรงในพื้นที่ก็ค่อยๆ ลดลง ทุกอย่างก็ค่อยๆ ดีขึ้น ด้วยวิธีที่ทำมาทั้งหมด ทั้งลองผิดลองถูก บางเรื่องก็ไม่ได้ผล บางทีไปเชื่อเขา แล้วก็เสียเปล่า แต่เวลานี้ถือว่าดีขึ้น ตอนนี้ทั้งสองสายก็ต้องเดินไปเหมือนเดิม แม่ทัพก็ทำงานต่อไป การพูดคุยสันติสุขก็เดินหน้าไป” ผบ.ทบ. กล่าว

ด้าน พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อีกหนึ่งมือประสานและเป็นคนกลาง กล่าวว่า “มีการประสานงานกันอยู่แล้ว งานแต่ละระดับ คนละแนวทาง แต่ถือว่าเป็นงานเดียวกัน”

ส่วนความเห็นของ “คนทำงานลับข้างล่าง” ก็ไม่ได้เห็นสอดคล้องกับ “บิ๊กอาร์ต-บิ๊กโบ้” หลายเรื่อง ทั้งการพัฒนาพื้นที่และการพูดคุยสันติสุข เช่น มีการตั้งข้อสังเกตว่าบุคคลที่ออกสื่อฝั่งมาราปาตานี มี “เพาเวอร์” จริงหรือไม่? เพราะบุคคลที่มีอำนาจในขบวนการก่อเหตุปัจจุบัน จะไม่ยอมออกสื่อง่ายๆ แน่นอน

อีกทั้งมีการเห็นแย้งโจทย์ที่ “ข้างบน” ตั้งว่า ถ้าพัฒนาพื้นที่ให้มีสภาพเศรษฐกิจดี คนก็จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการ ทว่า เจ้าหน้าที่ “ทำงานลับข้างล่าง” มองว่าโจทย์นี้ไม่ตรงเป้า โดยยกตัวอย่างว่าหากมีคนในพื้นที่เพียง 10% ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการ ส่วนคนอีก 90% ที่อ้างว่าอยู่ดีกินดี ไม่มีอุดมการณ์เป็นแนวร่วม และไม่ไปก่อเหตุ

สุดท้ายการก่อเหตุก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ดี

พล.อ.วัลลภระบุว่า การทำให้พื้นที่ปลอดภัยก่อนนั้น จะทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจเข้าไปได้ เช่น โครงการสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ แล้วประชาชนจะมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จึงต้องทำงานในทุกมิติพร้อมๆ กัน

ฝ่าย “ทำงานลับข้างล่าง” ระบุอีกว่า การทำงานของขบวนการ “บีอาร์เอ็นรุ่นใหม่” ยังใช้วิธีการ “แทรกซึม” ไปในพื้นที่ต่างๆ เช่น เข้าไปในหน่วยงานรัฐ-เอกชนแห่งละ 2 คน เพื่อทำการ “ปลุกระดม” โดยมีเป้าหมายระยะเวลา 10 ปี หวังให้เกิดการก่อเหตุใหญ่ เป็นต้น

เลขาธิการ สมช. ชี้แจงว่า ทุกฝ่ายมีการประเมิน ผู้เห็นต่างก็ประเมินสถานการณ์เช่นกัน ทางเราก็คิดว่าเดินมาถูกต้องแล้ว แต่สำหรับผู้เห็นต่างอาจเห็นว่าแนวทางที่เดินมาไม่สามารถบรรลุแนวทางที่ต้องการได้ ก็จะไปเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้

แต่ต้องแยกกันระหว่างกลุ่มที่มาพูดคุยและไม่ได้มาพูดคุยสันติสุข ซึ่งกลุ่มที่ไม่ได้มาคุยก็ต้องเปลี่ยนแนวทางในการต่อสู้ไป กลุ่มที่มาพูดคุยก็เจรจากันต่อไป

สิ่งสำคัญคือ ชุดข้อมูลที่ตรงกันระหว่างกระบวนการทำงาน “ข้างบน” และ “ข้างล่าง”

สําหรับกรณีกลุ่มมาราปาตานีออกมาระบุว่า การพูดคุยกับ “รัฐบาลทหาร” ดีกว่า “รัฐบาลพลเรือน” นั้น คาดกันว่าเป็นเพราะ “รัฐบาลทหาร” สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เบ็ดเสร็จกว่า “รัฐบาลพลเรือน” และเป็นกระบวนการคิดของ “คนรุ่นเก่า” ในกลุ่มมาราปาตานี

สิ่งที่น่าสนใจคือ ในขบวนการ “บีอาร์เอ็น” ก็มีกลุ่ม “คนรุ่นใหม่” เกิดขึ้น โดยผลักดันประเด็นเรื่องสิทธิ ความเท่าเทียม และพยายามดึงองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาร่วม

เป็นที่รู้กันในพื้นที่ว่ากลุ่ม “บีอาร์เอ็น” นั้นอยู่รอบตัว เพราะมีโครงสร้างระดับล่างที่ไม่ชัดเจนและสมาชิกแต่ละคนไม่รู้จักกันมากนัก ผิดกับระดับบนที่มีการแบ่งงานเป็นฝ่ายต่างๆ เด่นชัด

ปัจจุบัน มีการแบ่ง “บีอาร์เอ็น” ออกเป็น 2 รุ่น คือ คนมีอายุ มีประสบการณ์โชกโชน และวัยรุ่น อายุ 15-30 ปี ที่มีความ “แอ๊กทีฟ” แทรกซึมไปในระดับครอบครัว ไม่มีรูปแบบการจัดตั้งองค์กรที่แน่ชัด แต่ขับเคลื่อนสังคมผ่านคำบอกเล่าต่างๆ และมีการเรียกร้องสิ่งต่างๆ เป็นระบบมากขึ้น ผสมกับหลักการสากล หลักสิทธิมนุษยชน

โดยช่วงปี 2556-2560 ได้มีการออกแถลงการณ์ผ่านยูทูบหรือใช้โซเชียลมีเดียมากขึ้นด้วย

จึงเกิดคำถามว่าการผลักดัน “หลักสากล” ของกลุ่ม “บีอาร์เอ็นรุ่นใหม่” กับสิ่งที่ “กลุ่มมาราปาตานี” ระบุว่านิยมพูดคุยกับ “รัฐบาลทหาร” มากกว่า “พลเรือน” นั้น ย้อนแย้งกันหรือไม่?

ทั้งหมดนี้ จะเห็นภาพ “ศึกใน” ที่หนักหนาไม่แพ้ “ศึกนอก” จากการแบ่งออกเป็น 3 ก๊ก ทั้ง พล.อ.อักษรา-พล.ท.ปิยวัฒน์ และฝ่าย “ทำงานลับข้างล่าง” ที่ต่าง “ต่อรอง” กันเอง แม้จะมีบางอย่างที่เห็นตรงกัน

พลโท ปิยวัฒน์ นาควานิช

ถึงนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. จะทำตัวเป็น “กาวใจ” ประสานรอยร้าวระหว่าง พล.อ.อักษรา กับ พล.ท.ปิยวัฒน์ แต่ก็ต้องอย่าลืมกลุ่ม “ทำงานลับข้างล่าง” ด้วย เพราะการขับเคลื่อนงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ต้องใช้ข้อมูลหลายชุดในการจัดทำยุทธวิธีต่างๆ เพื่อ “ตั้งรับ-รับมือ” ไม่ให้เสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม

ขอ “สันติสุข” จงบังเกิด