มนัส สัตยารักษ์ – กาสิโนไทย : มิใช่เพื่อร่ำรวย แต่เพื่อรอดตาย

เป้าหมายหลักในความพยายามผลักดันให้ไทยตั้งกาสิโนถูกกฎหมายขึ้นนั้น มิใช่ต้องการรายได้จากการพนันหรือจากค่าสัมปทานหรือจากภาษีอากร และเราไม่ได้ต้องการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในทางเศรษฐกิจด้วยการนี้แต่อย่างใด

เราเพียงต้องการ “หยุดเลือด” ของคนไทยที่ไหลทะลักออกนอกประเทศอย่างมหาศาลด้วยความโลภและโง่เขลาต่างหาก และเราประสงค์จะหยุดเสียงจากปากถือศีลของคนที่มือถือสากในยุคประเทศไทย 4.0 เสียที

เป้าประสงค์หลักไม่ใช่เพื่อความร่ำรวยของประเทศหรอก แต่เพื่อรอดตายจาการอาการเสียเลือดจนหมดตัวต่างหาก

อย่างไรก็ตาม เราก็เหมือนคนไทยส่วนใหญ่ทั่วไปที่เป็นห่วงว่าสังคมไทยในส่วนที่ดีจะถูกทำลาย จนกลายเป็นเมืองที่ประชาชน “ติด” การพนัน มีปัญหาอาชญากรรม เป็นเมืองอันตราย สูญเสียการท่องเที่ยวซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศ ฯลฯ

เราตระหนักดีว่าการผลักดันเพื่อมีกาสิโนถูกกฎหมายเป็นเรื่องลำบากและอันตรายสำหรับประเทศที่ประชาชนมีการศึกษาน้อยและไม่มีวินัย รวมทั้งมีความแตกแยกทางความคิดกันในทุกอณู แต่เรื่อง “เลือดทะลักออก” ก็เป็นเรื่องที่รอไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้น ในการเสนอตั้งกาสิโนก็ควรเสนอทั้งรูปแบบและกฎข้อบังคับควบคู่กันไป

ทั้งรูปแบบและกฎในที่นี้เป็นแค่ “ไกด์ไลน์” ที่ประมวลมาอย่างหยาบๆ จากประสบการณ์ที่ได้ไปพบเห็น หรือจากสื่อต่างๆ เช่น ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ จากการอ่านสารคดีหรือหนังสือนำเที่ยว จากข้อเสนอของนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ที่เคยเสนอมาก่อนในอดีต และจากความคิดของคนที่สนใจอยากเห็นประเทศไทยก้าวพ้นอุปสรรค

ก้าวพ้นความล้มเหลวและได้สัมผัสกับความจริงที่ไม่ใช่การสร้างภาพเสียที

โดยหวังให้เป็นแนวทางหาข้อมูลและข้อเท็จจริงจากนักวิจัยขององค์กรที่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชน (อย่างทีดีอาร์ไอ) นำไปวิจัยอย่างเป็นระบบและสามารถอธิบายให้ประชาชนและผู้ต่อต้านเข้าใจได้

รูปแบบของกาสิโน ควรเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับชาวต่างประเทศ ขณะเดียวกันก็รองรับนักท่องเที่ยวที่ไม่มีสิทธิเข้าไปเสี่ยงโชคใน “บ่อน” รวมทั้งคนไทยด้วย อย่างที่เราเรียกว่า Entertainment Complex มีโรงแรมที่พักระดับ 5 ดาวรวมทั้งภัตตาคาร มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือความบันเทิงอื่นๆ ที่ไม่ใช่การพนัน มีพิพิธภัณฑ์หรือส่วนนิทรรศการ สวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น เป็นต้น

ถ้าเราหวังจะกระจายความเจริญของบ้านเมืองและสร้างงานให้คนไทย เราควรสร้างในรูปแบบ Entertainment Complex ให้ครอบคลุมทุกภาคของประเทศโดยไม่ซ้ำที่กับแหล่งท่องเที่ยวเดิมที่ติดตลาดอยู่แล้ว (คือพัทยา หัวหิน เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ตและกระบี่)

นอกจากนั้น เราอาจจะมีกาสิโนในรูปของ “เรือสำราญ” เพราะประเทศของเรามีทะเลขนาบ 2 ชายฝั่งที่สวยงามยาวเหยียดหลายพันกิโลเมตร

แต่ถ้ายังห่วงภาพลักษณ์ของประเทศและไม่ไว้ใจการควบคุมของข้าราชการ ก็อาจจะตัดสินใจทำที่เดียว หรืออย่างมาก 2 ที่ โดยเจ้าของเดียวเพื่อป้องกันการแข่งขันในด้านธุรกิจและสะดวกต่อการควบคุม

พูดถึงการลงทุน ผมเชื่อว่านักวิจัยของทีดีอาร์ไอหรือนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ ที่ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของนักการเมืองหรือข้าราชการ และไม่ถูกครอบงำด้วยอิทธิพลของมาเฟีย คงตัดสินได้ว่าควรจะใช้วิธีใดในหลายวิธี

อาจจะเชิญชวนนักลงทุนระดับโลกที่พร้อมจะลงทุนขนาดใหญ่มาประมูลสัมปทาน หรืออาจจะมักน้อยให้นักลงทุนในเมืองไทยแข่งขันกันประมูลสัมปทาน แล้วรัฐเก็บภาษี กับค่าต๋ง ประชาชนมีงานทำมากขึ้น อัตราว่างงานลดลง

โดยส่วนตัวแล้วผมมีความเห็นว่ารัฐไม่ควรลงทุนเอง ไม่ว่าจะทำในลักษณะของรัฐวิสาหกิจหรือองค์กรเอกชนก็ตาม เพราะความเป็นมาในอดีตและความเป็นไปในปัจจุบันให้บทเรียนที่เจ็บแสบแก่เรามาแล้ว

จะจัดตั้งในรูปแบบใดก็ตาม เราต้องรักษาเครดิตของประเทศอย่างคนค้าขายที่มีคุณธรรม ในสถานที่ที่มีการเล่นพนันจะต้องไม่มีเรื่องตุกติกประเภทใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ หรือใช้แม่เหล็กถ่วงลูกเต๋าทำลายความน่าเชื่อถือของบ่อนไทย

มีองค์กรรัฐประกันความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว

ในระหว่างจัดสร้างหรือดำเนินการกาสิโน ผู้ได้รับสัมปทานต้องไม่โฆษณา ห้ามมีโปสเตอร์หรือทำบิลบอร์ดโฆษณาตามถนนหนทาง

กฎของกาสิโนต้องเข้มแข็งและศักดิ์สิทธิ์ แม้กฎจะออกโดยใช้สามัญสำนึกธรรมดาก็ตาม จะไม่มีการอ้างถึงความเสมอภาค ความเท่าเทียมกัน หรือเสรีภาพแบบไทย-ไทย

เท่าที่นึกออกในขณะนี้ก็คือ กำหนดอายุไว้ว่าต้องเป็นผู้ใหญ่มีอายุสูงกว่า 21 ปี จะอ้างว่าอายุ 18 ปีมีสิทธิ์เลือกตั้งแล้ว-ไม่ได้

จะต้องมีฐานะดี มีเงิน “ฝากประจำ” ในธนาคารด้วยจำนวนที่สูงมาก

มีพาสปอร์ต แต่งกายสุภาพ ฯลฯ

ต้องคำนึงไว้เสมอว่า เรายินดีเปิดประตูต้อนรับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้น คนไทยที่จะเข้าไปในบริเวณพื้นที่ของบ่อนกาสิโนได้จะต้องเสียค่าผ่านประตูด้วยอัตราที่สูง

คนไทยต้องมีบัตรประชาชน ผ่านการตรวจสอบประวัติจากหน่วยราชการ

ผู้เขียนไม่มีความเชี่ยวชาญเรื่องบ่อนกาสิโน จึงขอเสนอให้คณะวิจัยไปดูงานบ่อนกาสิโนของ 2 ประเทศเพื่อนบ้าน คือที่เกาะเซนโตซาหรืออ่าวมารินา สิงคโปร์ และที่ปอยเปต กัมพูชา ดูการจัดตั้ง การบริหาร รวมทั้งสภาพสังคมที่แวดล้อมของทั้ง 2 ประเทศ

สิงคโปร์เป็นประเทศที่คนในชาติตลอดจนผู้นำประเทศ ต่อต้านยาเสพติดและอบายมุข นักการเมืองไทยที่ต่อต้านกาสิโนชอบยกสิงคโปร์เป็นตัวอย่างในการปราศรัย แต่ในเวลาต่อมา นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรี ประกาศสร้างกาสิโน เพื่อให้สิงคโปร์ “รอดตาย” จากวิกฤตเศรษฐกิจโลก กาสิโนของสิงคโปร์ยังได้รับการยอมรับว่ายิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากลาสเวกัส อเมริกา อาชญากรรมลดลงและอัตราคนว่างงานลดเหลือ 1 เปอร์เซ็นต์ โดยชาวสิงคโปร์เองไม่เคยเข้าบ่อน!

ส่วนอีกฟากหนึ่งคือที่ปอยเปตของกัมพูชาซึ่งอยู่ติดกับไทย มีกาสิโนหรูหราน้องๆ สิงคโปร์ โรงแรมที่พักระดับ 5 ดาวเพิ่มจำนวนกว่า 20 แห่ง ในขณะที่ตลาดโรงเกลือฝั่งไทยก็มีตลาดรูปแบบเดิมเพิ่มขึ้นเป็น 4 หรือ 5 แห่ง นัยว่าเจ้าของตลาดเป็นคนเขมร ส่วนกาสิโนเป็นของคนไทยหรือคนไทยเป็นหุ้นใหญ่

ในบ่อนปอยเปตก็คล้ายบ่อนสิงคโปร์ คือ คนพื้นเมืองเข้าบ่อนน้อยมาก ส่วนใหญ่กว่า 80-90 เปอร์เซ็นต์เป็นคนไทยหรือเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาทางประเทศไทย

ผมอยากให้นักวิจัยไปดูงานที่นี่เพื่อจะได้เห็นสภาพของคนไทยตัวซีด ผมเผ้ากระเซิงหมกตัวอย่างยอมตายอยู่ในบ่อนเขมร ท่านอาจจะเกิดแรงบันดาลใจ เร่งให้รัฐบาลไทยตระหนักถึงวิกฤตเศรษฐกิจและสังคมของเรา เพื่อว่าจะได้ช่วยให้ไทย “รอดตาย” บ้าง