“ฟิล์ม รัฐภูมิ” หนุนเต็มที่ ‘กาสิโนถูกกฎหมาย’ ไม่ต้องอ้างเมืองพุทธ ตราบใดที่อาบอบนวดเต็มเมือง

สัมภาษณ์พิเศษ ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ | เรื่อง : พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์

“ผมอยากเห็นผู้นำไทยมี character เป็น “นักธุรกิจ” และ “ฉลาด” ผมมองว่าการบริหารประเทศ มันไม่ได้แตกต่างอะไรจากการบริหารองค์กรบริษัทสำนักงานทั่วไป ถ้าเขามีความเข้าใจธุรกิจ เขาจะนำพาประเทศให้รอดได้แน่นอน กลยุทธ์อาจช่วยได้เพียงเสี้ยวเดียว แต่วิสัยทัศน์มุมมองการเข้าใจธุรกิจของผู้นำจะนำพาประเทศไปได้” นี่คือผู้นำในทัศนะของ “ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์” ศิลปิน-เจ้าของธุรกิจหลากหลาย และเป็น 1 ในนักการเมืองรุ่นใหม่ ที่ร่วมงานกับ “กลุ่มสร้างไทย” ของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

ฟิล์ม รัฐภูมิ มองผู้นำประเทศในระดับโลก ส่วนใหญ่เขามีความเข้าใจโมเดลธุรกิจทั้งนั้น เขาไม่ได้เข้าใจแค่กลยุทธ์ แต่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในธุรกิจการค้าขาย การเป็นพ่อค้าแม่ค้านั่นคือสิ่งที่สำคัญ ประเทศเราต้องพึ่งพาการส่งออก ยังไม่เคยเห็นเลยว่า หากจะเริ่มให้นักท่องเที่ยวเข้ามาแล้วก็ส่งออกอะไรไป หรือซื้ออะไรกลับ ต่างประเทศเขาทำหมด บ้านเราจะทำอะไรติดขัดมีข้อห้าม แต่พอนายทุนใหญ่มาทำได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่แปลก บางนายทุนมีเงินมาก็ขนอะไรไปได้ใส่ตู้คอนเทนเนอร์ออกไป ตรวจสอบกลับไม่เจออะไร

ผมงงว่าเวลาทำไมผมไปญี่ปุ่น ผมไปอลาสก้าผมซื้อปูอะไรกลับมาได้ของดีๆ ทั้งนั้น ไปซื้อสตรอว์เบอร์รี่ได้เกรดคุณภาพพรีเมียมกลับมาได้ แต่ประเทศไทยเราลองมาหาอะไรแบบนี้ไม่มีนะครับ ดันส่งออกไปจีน ส่งออกไปเพื่อนบ้าน นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องมาศึกษาและหาข้อมูลกัน

ที่สำคัญประเทศไทยของเราเป็นเมืองท่องเที่ยว วันนี้โลเกชั่นของเราเป็นที่ 1 ระดับโลกได้เลย นิสัยคนไทย การยิ้มแย้มของคนไทยน่ารักที่สุดในโลกอยู่แล้ว ทำไมไม่ดึงจุดเด่นจุดนี้มาสร้างประเทศไทยของเราให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอันดับ 1

หลังจากเปิดประเทศแล้ว เราก็ต้องเตรียมความพร้อมมาตรการตั้งรับ เราวางแผนหรือยัง

ฉะนั้น ผู้นำที่ต้องการ คืออยากให้เขาเป็น “คนฉลาด”

ฟิล์มยังมองด้วยว่า วันนี้ไม่แปลกที่น้องๆ คนรุ่นใหม่จะบอกว่าไม่มีความหวังใดๆ เลย เขาก็มองแบบนั้น โครงการรัฐบาลแต่ละอย่างที่คิดออกมา บางทีเราก็งงแล้วว่าคิดกันออกมาได้อย่างไร ทำไมทำแบบนี้อีกแล้ว คือไม่เข้าใจจริงๆ

เช่น Application ต่างๆ ที่รัฐบาลทำ ทำไมมีแค่แต่เรื่องแจก แต่ทำไมไม่ให้คนไทยต่อยอด ไม่สอนให้รู้จักช่วยเหลือตัวเอง คิดว่าแจกๆ ไปมันก็จบ พฤติกรรมมนุษย์เป็นแบบนี้ แจก แปลว่า รับมา แจกไปแล้วก็หมด แต่ทำไมไม่คิดว่าแจกไปแล้ว เอาไปต่อยอดได้ยังไง

เช่น วันนี้ใครช่วยเรา (รัฐบาล) ค้าขายก็แบ่งเปอร์เซ็นต์ให้เขา เช่น พาคนไปซื้อของ OTOP รัฐบาลมีงบฯ ให้เลย ใครขายได้เอาไปเลย 30% วันนี้ใครพาคนมาเที่ยวจุดนั้นจุดนี้ของทางภาครัฐเมืองมรดก ใครพามามีเปอร์เซ็นต์ให้ อาชีพก็จะเกิดขึ้นเพิ่ม อาชีพไกด์ อาชีพเซลส์ อาชีพรีวิวแนะนำสินค้า หรือสายการบินที่ไม่ประสบความสำเร็จ คนบินไปไหนไม่ได้ ถ้าบินในประเทศใครพามาบินมีเปอร์เซ็นต์ให้ มีส่วนลดให้

รัฐบาลทำไมไม่เรียกมาคุย ไม่ตั้งคณะต่างๆ มาบริหารจัดการแล้วก็มีการแชร์กำไรกัน แค่นี้คนไทยก็รอดแล้ว แต่ไม่มีใครคิด เอาหลักการง่ายๆ แค่นี้ การแชร์กัน เพราะกติกาส่วนใหญ่คุณเป็นผู้กำหนดเกณฑ์อยู่แล้ว แต่คุณไม่มากำหนดให้คนไทยรอดไง คุณดันไปปล่อยผลประโยชน์ต่างๆ ให้กับกลุ่มผู้มีอำนาจทั้งหมดแล้วคนรากหญ้า คนระดับกลางต้องปากกัดตีนถีบดิ้นรนหาทางออกด้วยตัวเอง

พูดถึงการเยียวยา sme ที่บาดเจ็บตั้งแต่การระบาดรอบแรกหลายคนยังไม่ฟื้น อยากให้ออกมาส่งเสริม start-up การทำอีคอมเมิร์ซ การทำออนไลน์ สิ่งเหล่านี้มันจะช่วยได้อย่างมาก

หลายคนอาจจะคิดสั้น ฆ่าตัวตายหรือไปเลือกทางที่ผิด ก่อเหตุอาชญากรรม เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีหนทาง เขาเลยต้องคิดทำอะไรแบบนั้น

แต่ถ้าประชาชนได้มีโอกาสเข้าถึงข้อมูลความรู้ ที่รัฐต้องมอบให้แบบเป็นด้ายเส้นเดียว “ไม่มีปมผูกมัด” เพราะที่ผ่านมาเวลารัฐบาลจะส่งอะไรถึงประชาชนมักจะมีปมอยู่เรื่อยๆ หรือการส่งอะไรไปให้ประชาชน ชอบไม่คำนึงให้รอบด้าน

อย่างเช่น ตัวผมเองได้รับผลกระทบเต็มๆ คือการบอกให้ปิดประเทศ ห้ามคนต่างชาติทำงาน ผมเองก็เกิดผลกระทบ ผมเองก็เป็นเจ้าของธุรกิจกลุ่มร้านอาหารซึ่งส่วนใหญ่ใช้แรงงานเพื่อนบ้านทั้งนั้น ตอนเช้าท่านออกมาบอกว่าผลักดันออกให้หมด ห้ามเข้ามาทำงาน คนที่จะไปต่อบัตรจะเข้าไปทำอะไรก็ทำไม่ได้

เวลารัฐบาลประกาศอะไรให้รู้สึกตกใจกันหมด ลูกจ้างก็ออกจากร้านไปเกิดผลกระทบทันที ก่อนตกเย็นมา จะอนุโลม แต่สิ่งที่พูดมาตอนแรกทำให้แรงงานหนีไปหมดแล้ว ทุกอย่างก็พังลงไป

ผมมองว่าการสื่อสารสำคัญมาก รัฐบาลต้องเตรียมก่อนว่าจะพูดอะไร จะทำอะไร

วันนี้ฟิล์มเห็นว่า SME ตายกันหมด ยกตัวอย่างเช่น บางคนเป็นเกษตรกรเลี้ยงกุ้ง ก็ไม่รู้ว่าจะเอาไปขายต่ออย่างไร ผลจากการพยายามประกาศหรือทำให้เห็นว่ากุ้งนั้นเป็นอันตราย คนเลี้ยงกุ้งก็ตายกันหมด แต่ทำไมไม่มีใครสักคนที่ออกมาบอกว่าไม่เป็นไร กินได้ปลอดภัย ถามว่าเขาออกมาหรือไม่ ก็ออกมา แต่ว่าสายเกินไปแล้ว เพราะว่าเกิดผลกระทบกันไปมากมายแล้ว

เมื่อท่านสื่อสารออกไปแล้วมันพัง ทำไมถึงไม่มีนักวิจัยมาให้ความรู้ มีทีมแพทย์มาบอก คือการสร้างการรับรู้เรื่องของการปรุงสุก อธิบายให้พวกเขาได้รับทราบ แล้วเอาท้องถิ่นเข้าไปประกบเลย ให้ความรู้เลย ใครทำ SME ใครมีธุรกิจนากุ้ง ก็เข้าไปสอนให้ความรู้ รัฐบาลจะช่วยซื้อหรือไม่ หรือเอาทีมที่เก่งเรื่องทำ e-commerce ไปช่วยเขาขายหรือไม่ ยังไงก็ทั่วถึงและทำได้

เพราะทีเวลาพวกคุณจะเข้าไปหาเสียงกัน คุณยังเข้าไปถึงทุกประตูบ้าน เข้าไปถึงทุกพื้นที่ได้เลย แต่ทำไมเวลาจะแก้ปัญหาให้กับคนในประเทศชาติพวกคุณถึงกลับทำแบบนี้ไม่ได้

ขณะเดียวกัน ฟิล์มมองว่า การจ่ายเงินของรัฐบาลยุ่งยากมาก แล้วก็จ่ายไม่ทั่วถึง เป็นเรื่องมาตั้งแต่โครงการธงฟ้าในอดีตมาจนปัจจุบัน เรื่องการแย่งลงทะเบียน ไม่จ่ายเงินสด มีเงื่อนไขสารพัด

คือ สารพัดโครงการที่เขาคิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคแรกๆ มันเป็นการช่วยเหลือปลาใหญ่ทั้งนั้น แล้วร้านโชห่วยก็ไม่รอด

มองว่ารัฐต้องรับฟังประชาชนมากกว่านี้ อย่ามัวแต่ไปรับฟังคนใกล้ตัว อยากให้ผู้ใหญ่ในประเทศของเรารับฟังประชาชนก่อน แล้วทุกโครงการเราไม่ควรวัดความสำเร็จจากจำนวนคนที่มาใช้ เราต้องวัดที่คุณภาพชีวิตของคน

ถ้าหากคุณภาพชีวิตของประชาชนยังไม่ดี เขาก็แค่เดินไปรับข้าวแลกข้าว หรืออะไรก็รับไว้ก่อน เพราะเขากลัวเสียสิทธิ์

เราต้องวิจัยวิเคราะห์กันจริงจัง

นอกจากนี้ “ฟิล์ม” ยังสนับสนุนเรื่อง Casino อะไรที่มันสีเทาๆ เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะทำให้ถูกกฎหมาย

ในเมื่อจับกันไม่ได้ เราเจอบ่อนเต็มไปหมดทั้งประเทศ แต่ไม่เคยเจอเจ้าของบ่อน

เราย้ายเจ้าหน้าที่ผู้กำกับท่านนั้น ผู้การท่านนี้ ย้ายหลายคนมากมาย แล้วเดี๋ยวก็กลับเข้ามาใหม่แค่นี้เอง

แล้วทำไมไม่ทำให้ถูกกฎหมายไปเลยแล้วเก็บภาษี ทำให้มันถูกต้อง บอกเลยว่าคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกอยู่แล้ว ชอบเล่นอยู่แล้วก็ทำไปเลย หวยใต้ดินขึ้นมาบนดิน ต่างประเทศก็มีกันหมด กาสิโนก็เอาขึ้นมาแล้วก็เก็บภาษี

ทำไมอาบอบนวดยังมีเลย จะบอกว่าเราเป็นเมืองพุทธ? ผมเองมีเพื่อนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยเขายังงงเลยว่าคุณเป็นเมืองพุทธ แต่ตระการตาไปด้วยอาบอบนวด เพราะมีใบอนุญาต สนามมวย สนามไก่ สนามม้าเต็มไปหมด

อะไรๆ เลยดูขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เห็นหลายๆ อย่าง ควรปล่อยวางผลประโยชน์ส่วนตัวแล้วประเทศเราจะเจริญแน่นอน

ทำให้มันถูกกฎหมายไปเลย ไหนๆ ก็ห้ามไม่ได้แล้วก็เก็บภาษี ประเทศก็จะรอดพ้นวิกฤตได้

ปิดท้ายเรื่องการเข้ามาในวงการการเมืองอย่างเต็มตัว เจ้าตัวเล่าว่า ชอบการเมืองมาตั้งแต่เด็กแล้ว พอได้มาเป็นนักธุรกิจ ทำธุรกิจมาเยอะมาก เจอผลกระทบกับการเปลี่ยนรัฐบาลอยู่ประจำ

ที่สำคัญประเด็นที่ทำให้โดนผลกระทบมากที่สุดคือเรื่องของใบอนุญาต แม้เราจะคิดดีทำดีทำอยู่บนความถูกต้องไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีผู้เสียหาย แต่ก็โดนเรื่องใบอนุญาต

เช่น ธุรกิจล่าสุดที่ทำ e-commerce ที่ใหญ่มากอันหนึ่ง มีสมาชิกมากกว่า 8 แสนชีวิต แต่ก็โดนเรื่องใบอนุญาตอีก ว่าไม่มี และพฤติการณ์ทำตัวคล้ายธนาคาร แต่ต่างประเทศเขาทำกันได้หมด ธุรกิจเหมือนกันเลย

ถามว่าวันนี้ทำไมหลายคนทำธุรกิจแลกเปลี่ยนสกุลเงินทำไมเขาทำได้ แต่ทำไมของผมทำไม่ได้ มันเป็นเรื่องแปลก

บางบริษัททำบางอย่างได้ แต่เราทำไม่ได้ มันมักจะมีเรื่องแบบนี้ให้เกิดข้อเปรียบเทียบตลอด

ไปถามผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็บอกว่าเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยุคก่อน

ฉะนั้น ผมมองว่าการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ ผู้นำประเทศเป็นเรื่องสำคัญ ผมก็เลยเข้ามาการเมืองอย่างเต็มตัว

ผมจะปล่อยเรื่องแบบนี้ต่อไปไม่ได้