ลูกเกด ชลธิชา | ถอดบทเรียนราษฎร 2563 สู่ก้าวที่เข้มข้นกว่าเก่าในปี 2564

“ถ้าให้พูดถึงภาพรวมการชุมนุมในปีที่ผ่านมา ต้องให้นิยามว่าเป็นปีที่อะไรที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็เห็นแล้ว อะไรที่ไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมันก็เกิดขึ้นแล้ว” “ลูกเกด” ชลธิชา แจ้งเร็ว หนึ่งในนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวประชาธิปไตย ผู้ทำหน้าที่สำคัญที่สุดในการชุมนุมของราษฎร 2563 นั่นคือ “การเจรจากับเจ้าหน้าที่” ได้ให้นิยามถึงการชุมนุมในปีที่ผ่านมา

ลูกเกดได้เท้าความถึงตอนที่ได้ลุกขึ้นมาต่อสู้ทางการเมืองตั้งแต่ตอนปีรัฐประหาร 2557 ตอนนั้นเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยของสังคมที่การเคลื่อนไหวเงียบเหงามาก มันเศร้านะที่เราไม่ได้รับการสนับสนุน อาจมีแค่เพียงกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีลุงๆ ป้าๆ มาร่วมกับเรา ไม่กี่คน

แต่ ณ วันนี้การเคลื่อนไหวของเรา มันกลายเป็นประเด็นที่มีผู้เข้าร่วมชุมนุมกับเราเป็นเรือนแสนบนท้องถนน

เป็นปรากฏการณ์ที่รู้สึกได้ว่า เราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดมันก็เกิดขึ้นแล้ว

ชลธิชา ยก 2 ประเด็นหลักที่ประทับใจในช่วงที่ผ่านมา

ประเด็นแรกคือ เห็นพลังของคนจำนวนมากที่ไม่ยอมจำนนอยู่ใต้ใครอีกแล้ว

เราเห็นพลังคนจำนวนมากทนไม่ไหวอีกแล้วกับการยอมให้ประเทศนี้เดินไปในทิศทางที่เขาจะมีโอกาส กำหนดอนาคตของตัวเอง และมีคนจำนวนมากเรียกร้องเรื่องการปฏิรูปสถาบัน ที่มีข้อเรียกร้องอย่างเป็นทางการอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงแค่การที่เราพูดลอยๆ ขึ้นมา แต่พวกเราพูดพร้อมข้อเสนอว่าทำไมต้องปฏิรูป พร้อมแผนว่าจะเป็นรูปอย่างไร

เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นหนึ่งในคนที่อยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ที่มีการชุมนุมแล้วมีคนเข้าร่วมจำนวนมากชูประเด็นเรื่องการปฏิรูป ซึ่งเปรียบเสมือนฉันทามติของสังคมว่าจะต้องหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูดกันได้แล้ว

ประการต่อมาคือ ห้วงที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่มักจะถูกปรามาสว่าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับการเมือง ไม่สนใจสังคม-บ้านเมือง แต่วันนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว ปีที่ผ่านมามันพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคนรุ่นใหม่มีพลังมาก เขามีความคิดสร้างสรรค์อย่างมาก

อย่างตัวเราเองต้องยอมรับถึงแม้ว่าเราจะทำงานร่วมกับน้องๆ นักกิจกรรมจำนวนมาก แต่เราเองก็ยังมีช่องว่างระหว่างวัยกับเขาอยู่เลย ถึงแม้ว่าตัวเองเพิ่งจะอายุ 28 ปี แต่ต้องยอมรับว่าคนรุ่นใหม่น้องมัธยมความคิดเขาบรรเจิดมาก เขาใช้ความคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆ เข้ามาจอยกัน เข้ามาร่วมขบวนเคลื่อนไหว

ดังจะเห็นได้จากเรื่องวัฒนธรรม ดนตรี หรือกระทั่งเพลงฉ่อยที่เพนกวินร้องสนุกด้วย แล้วเห็นนักร้องนักแสดงจำนวนมากที่กล้าลุกขึ้นมา Take Action ทางการเมือง

ที่สำคัญคือ เราเห็นการเคลื่อนไหวแบบออร์แกนิกส์ที่ทุกคนสามารถเป็นแกนนำได้

ทุกคนเป็นเจ้าของ movement

เราจะเห็นได้เลยว่าหลังจากมีการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงเมื่อเช้ามืดของวันที่ 15 ตุลาคม 2563 หลังจากนั้นเกิดการเคลื่อนไหวลักษณะที่ต่างคนต่างจัดการชุมนุมตามพื้นที่ต่างๆ แยกต่างๆ และรูปแบบการเคลื่อนไหวที่แต่ละคนไม่ได้มีการชู Hero ไม่ได้โชว์แกนนำ

แต่คือการเคลื่อนไหวที่พยายามให้ทุกคนรู้ว่าทุกคนคือพลัง มีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศนี้

เรียกได้ว่าปีที่ผ่านมานอกจากจะเป็นการเคลื่อนไหวที่นอกจากการเสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันแล้ว ยังเป็นการซ้อมต้านรัฐประหารด้วย ที่ทำให้ทุกคนตื่นตัวและรู้ว่าถ้ามีรัฐประหารเกิดขึ้นจะต้องลงมารวมตัวบนถนน ทุกคนสามารถแสดงพลังว่าจะไม่เอารัฐประหารได้

ลูกเกดตั้งข้อสังเกตอีกว่า ปีที่ผ่านมาเราก็ได้เห็นเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ใช้วิธีเกณฑ์คนจัดตั้งคนมา แล้วเลือกที่จะเป็นปฏิปักษ์กับประชาชนอีกฝั่ง แสดงให้เห็นว่าพวกรัฐไม่ได้คิดที่จะหาทางออก หรือหาทางแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในครั้งนี้เลย

หนำซ้ำเราจะเห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐหลายคน เช่น ตำรวจ พยายามปฏิเสธที่จะทำหน้าที่ควบคุมสถานการณ์ไม่ให้มันเกิดความวุ่นวาย

เราเห็นว่าตำรวจไม่เคยพยายามที่จะป้องกันความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นจากการปะทะได้เลย อันนี้คือหนึ่งในข้อพิสูจน์ที่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่าสุดท้ายแล้วความรุนแรงมันเกิดจากทางฝั่งรัฐอย่างเดียวเลย ทั้งการเกณฑ์คน และการพยายามปัดความรับผิดชอบ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมสถานการณ์

สำหรับบทบาทนักเจรจาที่ได้รับ ในการที่เราจะชุมนุมแต่ละครั้งก็จะมีการแบ่งหน้าที่ชัดเจนว่าใครจะทำอะไร ส่วนตัวมักจะถูกได้รับการมอบหมายให้ไปเจรจา เพราะว่าเราพอจะมีความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับข้อกฎหมายสิทธิต่างๆ

หน้าที่หลักคือ จะต้องไปยืนยันว่าประชาชนมีสิทธิและเสรีภาพในการชุมนุมอย่างไรบ้าง

หน้าที่ต่อมาคือ พยายามตรวจสอบและเตือนสติเจ้าหน้าที่รัฐว่าคุณกำลังปฏิบัติหน้าที่โดยชอบตามกฎหมายหรือไม่ เราจะต้องยึดเรื่องข้อกฎหมายเพื่อป้องสิทธิเบื้องต้น โดยที่เพดานการเจรจาจะถูกกำหนดโดยทีมขีดเส้นเอาไว้แล้วว่าประมาณนี้ สุดท้ายแล้วเราแค่ไปยืนยันว่าเรามีสิทธิในการชุมนุมโดยสงบอย่างไรบ้าง

ซึ่งการเจรจาของเราจะมีเพดานจากวงประชุมจากทีมมาแล้ว ว่าต้องตกลงตามนี้ อะไรที่เกินกว่าขอบเขตจากนี้เราปฏิเสธหมด ก็จะไม่คุยด้วย

หลังๆ ต้องยอมรับว่าเจ้าหน้าที่หลีกเลี่ยงการเจรจา บางครั้งก็มีการสลายเลย

ลูกเกดบอกว่า สิ่งที่จะต้องถอดบทเรียนเพื่อการเคลื่อนไหวในปี 2564 คือ การชุมนุมของเราจะต้องถูกทำให้สนุก ใกล้ชิดกันมากขึ้น จะขยับมากกว่านี้ สีสันจะต้องมากกว่านี้ ลูกเล่นมากขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งเรื่องนี้ไม่กังวลเลยเพราะเชื่อว่าน้องๆ คนรุ่นใหม่ไปได้ไกลแน่ๆ เทคนิคการเล่นมุข อย่างการใช้คำว่าแกง แรกๆ เราก็ตามไม่ทันเหมือนกัน หรือเทคนิคการประชาสัมพันธ์ต่างๆ ดังนั้น ปี 2564 สีสันการเคลื่อนไหวจะเพิ่มขึ้นแน่นอน

ลูกเกดคิดว่าปี 2563 เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการเปิดประเด็น ว่า ทำไมเราจะต้องปฏิรูป เราสามารถจะสร้างฉันทามติในสังคมร่วมกันได้แล้ว เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องเข้ามาพูดคุยกันแล้วว่าเดินหน้าต่ออย่างไร ควรจะวางบทบาทสถาบันกับการเมืองอย่างไร ก็ต้องดูว่า 2564 จะทำอย่างไร ไม่ให้เป็นข้อเสนอที่เลื่อนลอย

ทำอย่างไรที่สามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายข้อกฎหมายต่างๆ ได้

แต่ที่น่าเศร้าคือ เราไม่มีนักการเมือง พรรคการเมืองใดที่มีความกล้าหาญมากพอที่จะรับฟังเสียงของประชาชน และจะยอมหยิบยกประเด็นเหล่านี้เข้าไปพูดคุยรัฐสภา

ปี 2564 เราจะช่วยกันกดดันมากขึ้น ช่วยกันเน้นย้ำว่ารัฐสภาที่มีผู้แทนของประชาชนต้องทำหน้าที่

เมื่อท้องถนนพูดถึงบทบาทของสถาบันกับการเมืองไทย พวกเราจะต้องผลักดันประเด็นเหล่านี้เข้าไปพูดคุยหาทางออกในรัฐสภาผ่านกลไกที่สามารถทำได้อย่างจริงใจและจริงจัง ไม่ใช่แค่พยายามตั้งคณะกรรมการมาเพื่อเบี่ยงประเด็น หรือทำเป็นแค่ผักชีโรยหน้า

ปี 2564 จึงจะมีอะไรสนุกๆ และรัฐบาลจะต้องปวดหัวแน่นอนกับการรับมือ เราต้องติดตามรัฐบาลทุกฝีก้าวว่าเขาจะมีวิธีการรับมืออย่างไรกับพวกเรา

แต่หนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแน่ๆ ที่สามารถตอบได้ตอนนี้เลย คือเชื่อว่า ปี 2564 เราจะสามารถขยายแนวร่วมของผู้คนที่เห็นด้วยกับประเด็นที่เราเสนอมากขึ้นอย่างแน่นอน และสามารถขยายข้อเสนอการปฏิรูปได้ แล้วไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นนามธรรม เราสามารถที่จะทำให้เป็นรูปธรรมได้ อันนี้น่าจะเป็นความเปลี่ยนแปลงที่จะต้องเกิดขึ้น

และลูกเกดฝันว่ามันจะเกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ลูกเกดบอกว่า อยากให้มองการเคลื่อนไหวครั้งนี้เป็นการเคลื่อนไหวแบบระยะยาว ต่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ลาออก หรือการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้นได้

แต่เชื่อว่าการเคลื่อนไหวยังไม่จบ ความแผ่วเบาของประชาชนคงจะไม่หมดลงไปแน่ๆ เพราะวันนี้ต้องยอมรับว่า มีการจัดการชุมนุมที่ชูเรื่องการปฏิรูปแล้ว คนเขาไปไกลกว่าการไล่ประยุทธ์แล้ว กำลังพูดถึงต้นตอว่าจะต้องทำอย่างไร คิดว่าเราจะต้องเดินหน้าแล้วจะต้องเข้มข้นกว่าเดิมแน่

สุดท้าย ลูกเกดมองว่า สังคมนี้ไม่มีวันกลับไปอย่างเดิมได้ เมื่อคนเริ่มตาสว่างแล้วก็จะสว่างต่อ ไม่มีทางกลับไปมืดบอด แล้วเมื่อคนในยุคของลูกเกดเองตาสว่างกันหมดแล้ว ในวันข้างหน้า คนรุ่นเกดจะต้องเติบโตไปเป็นพ่อเป็นแม่คนแล้วก็จะต้องสอนลูกหลานของเราไม่ให้มืดบอด

ดังนั้น ความเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้นในยุคหนึ่งแล้วมันจะต้องถูกส่งต่อความคิด จากยุคหนึ่งไปสู่อีกยุคหนึ่งไปเรื่อยๆ ผู้ที่มีอำนาจหรือผู้ที่พยายามที่จะกำหนดอนาคต ด้วยกลุ่มคนเล็กๆ จึงจะไม่มีวันทำสำเร็จ

ชมคลิป