เจาะใจ เจาะฝัน เจาะเบื้องหลัง ‘อรุณี กาสยานนท์’ โฆษกพรรคเพื่อไทย

“เรารู้ตัวเองว่าจะได้เข้ามาเป็นโฆษกพรรคเพื่อไทย ก่อนการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ (วันที่ 1 ตุลาคม) ทราบล่วงหน้าเพียงแค่ 1 สัปดาห์ ก่อนการเข้ามาก็ตกลงกับพรรคว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยมี 3 จุดยืน คือไม่จับมือกับเผด็จการ ยึดมั่นประชาธิปไตย และมุ่งแก้ไขปากท้องประชาชน เมื่อได้รับการยืนยันใน 3 ข้อนี้เลยตัดสินใจเข้ามารับหน้าที่” ผศ.อรุณี กาสยานนท์ หรือ อ.หญิง โฆษกพรรคเพื่อไทย (ป้ายแดง) เล่าเบื้องหลังการตกลงมาทำหน้าที่สำคัญของพรรคครั้งนี้

อรุณีเผยว่า ก่อนการเข้ามารับตำแหน่งโฆษกพรรคเพื่อไทยครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดที่แล้วเคยได้รับการทาบทามให้มาทำหน้าที่รองโฆษกในปีที่แล้ว แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าเรายังไม่มีความพร้อม-ศักยภาพส่วนตัวมากพอ ก็เลยไม่ได้เข้ามายุ่งทางการเมืองเท่าไหร่ เพราะอยากเรียนรู้งานด้านสื่อสารมวลชนและได้มีโอกาสเข้าไปอยู่ที่ Voice TV ก่อน

เราก็ทราบว่าผู้ใหญ่หลายคนเขาติดตามและดูเรา ทำการบ้านกับตัวเรามาก่อน เช่น ติดตามการแสดงมุมมองทัศนคติเราผ่านเพจ Facebook หรือติดตามเราจากการแสดงออกความคิดเห็นในรายการที่จัด

การตัดสินใจของเราคราวนี้จึงคิดว่าเป็นโอกาสในชีวิตที่มีความท้าทาย เป็นภาพลักษณ์ของพรรคที่เราเชื่อมั่น เลยคิดว่าเราควรจะต้องทำ

หลักในการทำงานพรรคการเมือง เราต้องเชื่อมั่นก่อนว่าพรรคเรามีแนวทางอุดมการณ์เดียวกับสิ่งที่เราเชื่อ

บทบาทการสื่อสารในฐานะโฆษกเราก็สื่อสารบนพื้นฐานที่เป็นตัวเรา เพราะคนที่จะรับสารจากเราเขาจะรับรู้ได้ว่าสารที่เราสื่อสารมันจริงใจมากน้อยแค่ไหน

ถึงแม้ว่าคุณจะพูดด้วยคำพูดที่ดีแค่ไหน แต่สิ่งที่มันจะสะท้อนออกมาว่าคุณเชื่อในสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ คือสายตา บวกกับมุมมองที่เรามองหรือมีต่อพรรคนี้มันเป็นความเชื่อมั่นที่เรามีจริงๆ ก็เลยเป็นตัวของตัวเองในการสื่อสาร

โฆษกที่ไม่ได้ทำแค่หน้าที่โฆษก

บทบาทในการทำงาน นอกจากการแถลงข่าวปรากฏผ่านสื่อแล้ว ได้มีการกำหนด direction ร่วมกับคณะกรรมการบริหารพรรค เพื่อความมีประสิทธิภาพในารสื่อสารทั้งหมด ร่วมกับทีมงาน เช่นกำหนด วางแผนแต่ละสัปดาห์ล่วงหน้าหรือทำแผนรายเดือน เพื่อที่จะนำมาสื่อสารกับประชาชนได้ วางเป็นตุ๊กตาเอาไว้ เพื่อให้การสื่อสารตอบรับได้ตรงประเด็นมากขึ้น ซึ่งนอกจากหน้าบ้านแล้ว โฆษกต้อง ร่วมขับเคลื่อนงานกับทีมงานหลังบ้านด้วย

ตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่ง เราก็เข้าพรรคทุกวันเหมือนงานประจำ มีการวางโครงสร้างงาน หารือกันในกอง หลังกรรมการบริหารพรรคแบ่งงานกันแต่ละด้านชัดเจนขึ้น

เป้าหมายที่วางไว้คือทีมงานกองโฆษกจะทำงานเชิงรุก มี Action มากขึ้น และบางเรื่องเราต้องใช้มืออาชีพ กูรูด้านต่างๆ เข้ามาผนึกกำลังกับเราในการผลักดัน

ซึ่งวันนี้มันไม่ใช่แค่เรื่องของพรรคการเมืองแล้ว แต่เราต้องมองตัวเองเป็นทุกสิ่งทุกอย่างให้กับประชาชนให้ได้

สิ่งที่คุณจะได้เห็นชัด คือเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่น ที่ได้มีการขยับอะไรหลายอย่าง มียุทธศาสตร์การต่อสู้ มีแคมเปญมากมายที่จะเดินหน้าอย่างเต็มที่

เมื่อก่อนบางคนอาจจะมองว่าเราเหมือนเต่า ตามไม่ทัน แต่ตอนนี้เราติดสเก๊ต และมั่นใจว่าจะเข้าเส้นชัย ใครจะวิ่งไปก่อนก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่จากนิทานอีสปก็มีบทเรียนแล้วว่าเต่าชนะอย่างไร

จากนี้ไปขอให้ติดตาม ไม่น่าเกิน 3 เดือนจะเห็นกิจกรรมต่างๆ ขยับให้เห็นความเปลี่ยนแปลง

ขณะร่วมสังเกตการณ์ในการชุมนุมใหญ่

มองกรณีคนชอบเปรียบเทียบ เพื่อไทย-ก้าวไกล

ใครที่จะนิยามเรื่องมวยหลักมวยรองกับพรรค ก็ต้องถามกันว่า คุณดูจากอะไร? ดูจากกระแสในโซเชียลมีเดียหรือคุณดูจากผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ

ถ้าดูแบบอย่างหลัง เพื่อไทยไม่ใช่มวยรองเพราะว่าการที่คุณจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เขาก็จะเลือกในสิ่งที่ทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น และเชื่อว่าสภาวะวิกฤตเศรษฐกิจเช่นนี้บวกกับเรื่องโควิด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้คนที่มีประสบการณ์และมืออาชีพมาทำงาน

ส่วนผสมแบบนี้ถือว่าเพื่อไทยมีอยู่ครบ ทั้งประสบการณ์และมืออาชีพ

คนชอบพูดว่าพรรคเพื่อไทยชอบพูดถึงความสำเร็จในอดีต แต่เราต้องพูดให้เห็นเพราะว่าเรากำลังจะสื่อว่าความสำเร็จตรงนั้นเราสามารถต่อยอดได้ทันที เลยมองว่าถ้าคุณไปถามคนต่างจังหวัด คนภาคอีสาน คุณจะได้ยินคำตอบอีกแบบหนึ่ง อยู่ที่ว่าคุณอยู่ในโลกไหน

ในการมองมวยหลักมวยรองคุณ ไม่ใช่ว่าสองโลกนี้แยกออกจากกัน แต่มันมีคนอื่นอีกจำนวนมากที่อยู่ในความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยี

พรรคเพื่อไทยเราเน้นคือเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจแบบมืออาชีพอยู่แล้ว คุณจะเอาความหวือหวามาเป็นตัวชี้วัดไม่ได้

วิพากษ์ระบอบประยุทธ์ – ยุทธศาสตร์การตอบโต้และตรวจสอบรัฐบาล

ไม่เคยให้ความสำคัญกับองครักษ์พิทักษ์ลุงตู่ ที่ออกมาตอบโต้แบบตีปิงปองเน้นวาทกรรม หรือการโต้แย้งที่ไม่ได้นำไปสู่การตั้งคำถามที่เราถามรัฐบาลในฐานะการเป็นผู้บริหารประเทศ ประเด็นที่นอกเหนือเราจะไม่โต้ แต่ประเด็นอะไรที่ต้องชี้แจงให้ชัดเจนก็ดำเนินการไป

สำหรับสิ่งที่อยากฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ อยากมอบสามคำให้กับท่านคือ “พอ เถอะ ลุง” กับสิ่งที่เขาทำในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นว่าประเทศไทยดีขึ้นหรือเปล่า คุณภาพชีวิตดีขึ้นหรือเปล่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นอย่างไร ระบบกฎหมาย ความเท่าเทียมกัน ระบบการศึกษา การกระจายโอกาสลดความเหลื่อมล้ำ ปัญหาคนตกงาน คุณมองเห็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่

ในเชิงประจักษ์ ถามว่าลุงตู่ควรจะอยู่ต่อหรือไม่ ควรจะเป็นรัฐบาลอยู่อีกหรือไม่

มีข้อมูลเชิงประจักษ์มากมายที่สะท้อนถึงความ (ไม่) ชอบธรรมของรัฐบาลนี้ ที่บริหารงานล้มเหลวผิดพลาด

อาทิ ผลพวงจากการใช้อำนาจมากมายมาตรา 44 จนสร้างความเสียหายต่อรัฐกรณีเหมืองทองอัครา การแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีคำถามจากคนทั้งโลก กรณีนาฬิกายืมเพื่อน ก็มีคำถามจำนวนมาก ยังไม่รวมอีกหลายเรื่อง

สำคัญที่สุดสำหรับรัฐบาลชุดนี้คือการทำให้ “ความยุติธรรม” เกิดถูกการตั้งคำถามจากสังคม ทำให้ยิ่งอยู่ร่วมกันลำบาก คุณไม่รู้จะหาหลักยึดได้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ถูกที่ควร มันเหมือนกันที่เงินหายไปเพราะถูกขโมย

ถ้าคุณมีความยุติธรรมคุณก็จะหาได้ว่าใครขโมยเงินคุณ แต่วันนี้ความยุติธรรมไม่มีอยู่คุณจะไปหาได้อย่างไรว่าใครขโมย มันไม่มีคำตอบ แล้วมันเป็นเรื่องที่อันตรายมาก น่ากลัวกว่าทุกเรื่องเพราะสิ่งที่รัฐบาลประยุทธ์ทำไปแล้วคือทำให้ความยุติธรรมในสังคมไทยมีคำถาม จนลามไปสู่เรื่องความเท่าเทียม

และลามมาสู่เรื่องอื่นๆ อีกมากมาย

ขณะร่วมสังเกตการณ์ในการชุมนุมใหญ่
ขณะร่วมสังเกตการณ์ในการชุมนุมใหญ่

ความฝัน หนทางชีวิต

จากการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยสอนรัฐศาสตร์ สู่บทบาทพิธีกรวิเคราะห์ข่าว สู่สนามการเมือง จนมาถึงการเป็นโทรโข่งพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากเป็นอันดับ 1 แต่ละบทบาทมีความแตกต่างกัน

เป็นอาจารย์มีเรื่องทฤษฎีมาวางในบางเรื่อง

เป็นนักวิเคราะห์ข่าว เป็นสื่อ เราก็ติดตามข่าวสารที่นอกเหนือจากเรื่องวิชาการที่เราเคยสนใจสังคม เศรษฐกิจ การเมือง เราจะต้องรู้และติดตามทุกเรื่องตลอดเวลา

วันนี้การทำหน้าที่โฆษกพรรคการเมืองเราจะต้องบวกบทบาทบริหารจัดการวางแผนเข้ามาเพิ่มด้วย งานโฆษกจึงกลายเป็นงานที่รวมทุกศาสตร์ที่เราเคยใช้เอาไว้ทั้งหมด

คือมีทั้งความเป็นสื่ออยู่ในตัว และก็ต้องให้ข้อมูลความรู้กับประชาชนบนพื้นฐานของความรู้ที่มีกรอบวิชาการ จึงคิดว่างานโฆษกนี้ท้าทายที่สุด และถ้าเลือกได้ ชีวิตคนเราคงต้องเลือกอะไรที่ท้าทายที่สุดในชีวิต ก็คิดว่า ถ้าให้เลือก 3 อาชีพ ก็คิดว่าชีวิตนี้คงเลือกไม่ผิดในการเป็นโฆษก

ส่วนการเข้ามาทำงานตรงนี้ก็ไม่ปฏิเสธความฝันว่าอยากจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยจังหวะชีวิต อะไรหลายๆ อย่าง ก็เคยไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติก็ถูกยุบเสียก่อน ส.ส.ก็เป็นฝันอย่างหนึ่ง

แต่ฝันสูงสุดของเรา คือเรื่องของการทำนโยบายให้กับสังคม เป็นจุดมุ่งหมายตั้งแต่ต้น ตั้งแต่หลังออกมาจากอาชีพการเป็นอาจารย์ คิดว่าหากเราทำงานการเมืองแล้วมาทำนโยบายที่สามารถส่งการเปลี่ยนแปลงได้กว้างขวางกว่า ที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนทั่วไปให้ดีขึ้น

ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าเราจะต้องเป็นรัฐมนตรีหรือมีตำแหน่งอะไร เพียงแค่เราได้มีส่วนร่วมในการสร้างนโยบายเปลี่ยนแปลงประเทศ ก็ถือว่าเรามาได้ไกลมากแล้วในการเป็นตัวแทนความเดือดร้อนให้พ่อ-แม่ พี่-น้อง ประชาชน

ชมคลิป