ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
ผู้เขียน | พิชญ์เดช แสงแก่นเพ็ชร์ |
เผยแพร่ |
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ มองปัญหาการเมืองปัจจุบันว่า มันต้องมองที่มาตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ที่ร่างขึ้นมาเพื่อคณะใดคณะหนึ่ง ในการที่จะสืบทอดอำนาจ คสช.
จึงกล่าวได้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับที่เป็นประชาธิปไตยน้อยที่สุดเท่าที่ผมสัมผัสมาตั้งแต่เล่นการเมืองมา 40 ปี
นอกจากจะไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว ยังทำให้รัฐบาลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ไม่มีเสถียรภาพ เราก็จะเห็นได้ชัดเจนคือ “ภาวะเสียงปริ่มน้ำมาก” อันจะทำให้ขาดความมั่นใจจากพี่น้องประชาชน เกิดการตั้งคำถามว่าจะอยู่ได้สักเท่าไหร่?
แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพการลงทุนในประเทศ เกิดความเสียหายต่อเสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ในสภาก็จะทำงานได้ยากลำบากมาก
ขนาดว่ามีการเลือกตั้งแล้วก็ยังมีการถกเถียงกันว่าอะไรผิดอะไรถูก มันทำให้ 2-3 เดือน ไม่สามารถจะประกาศผลคะแนนออกมาได้ ก็ทำให้กระทบถึงการจัดตั้งรัฐบาลที่ล่าช้า ทั้งหมดนี้เป็นผลต่อเนื่องมา
โดยสรุปก็คือความไม่เป็นประชาธิปไตยตั้งแต่ คสช.ตั้งใจจะสืบทอดอำนาจนั้นมันกลับเป็นการทำลายระบบการปกครอง ทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศ และทำลายความเชื่อมั่นของประชาชน
เมื่อพิจารณาถึงวิกฤตและทางออกของประเทศในเวลานี้ นายวันมูหะมัดนอร์กล่าวว่า ผมเชื่อว่าในที่สุดแล้วก็ต้องไปที่ต้นตอคือ ยังไงก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เพราะมันไม่ใช่แค่เรื่องของบางมาตรา มันมีทั้งเรื่องการสรรหาองค์กรกลาง หรือแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาทั้งสิ้น แม้ว่าอาจจะมีเจตนาดี แต่ผมมองว่าเวลาปฏิบัติแล้วมันไม่สามารถที่จะปฏิบัติได้ เพราะไม่ได้คำนึงหรือยึดโยงกับประชาชน ขาดการมีส่วนร่วมกับประชาชน แล้วในที่สุดการปฏิรูปไม่มีทางเกิดขึ้นได้จริง
การบอกว่าการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อให้แก้ยากหรือไม่ให้แก้นั้น ผมมองว่ามันเป็นการสร้างปัญหาเพราะว่าโดยทั่วไปแล้วรัฐธรรมนูญต้องเปิดโอกาสให้มีการแก้ไขได้ โดยเสียงของประชาชนก็ดี หรือเสียงของสมาชิกสภาผู้แทนฯ ก็ดี หรือเสียงของรัฐสภาก็ดี นี่ไม่ใช่กฎของพระเจ้า ไม่ได้มาจากสวรรค์ เป็นเรื่องที่มนุษย์สร้างขึ้นมา แน่นอนมันต้องมีความบกพร่อง ไม่เหมาะสมกับสมัยใดสมัยหนึ่งได้
วันนอร์กล่าว
ส่วนสภาชุดนี้จะเป็นความหวังในการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
ผมเองก็ทำนายไม่ถูก แต่เท่าที่ฟังเสียงกระแสจากประชาชน ในทุกๆ ระดับชั้น แม้แต่พี่น้องในชนบทเขาก็รู้และเข้าใจดีว่าปัญหาทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งก็ดี หรือการตั้งรัฐบาลก็ดี ล้วนมีปัญหามาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ทั้งสิ้น รวมถึงการปฏิรูป ก็ดูแล้วไม่ตรงกับความเป็นจริงหรือความต้องการของพี่น้องประชาชน
ซึ่งเขามองดูแนวโน้มแล้วเห็นว่าจะมีปัญหาตามมามากมาย ก็เห็นว่าควรจะได้รับการแก้ไข แต่ว่าพรรคการเมืองทั้งหลาย ยังไม่สามารถคุยกันอย่างลงตัวได้ว่า จะแก้อย่างไรและจะแก้อะไรบ้าง
แต่ความไม่เป็นประชาธิปไตยที่มีเจตนาสืบทอดอำนาจเพื่อคนเพียงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งนั้นจะต้องแก้ไข เช่น ตั้ง ส.ว.เองมาเลือกตัวเอง เสมือนการผลัดกันเกาหลัง ตั้งกันเองชงกันเอง ไม่มีพรรคการเมืองใดจะใหญ่เท่ากับ 250 ส.ว. เท่ากับว่านายกรัฐมนตรีมีพรรคสำรองไว้ช่วยตัวเองถึง 250 เสียง แล้วเราจะมาพูดว่า ส.ว.มีอิสระได้ยังไง มันเห็นชัดเจนว่าไม่อิสระ แถมไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนเลย แล้วไม่เป็นประชาธิปไตยอีก
ฉะนั้น ทางออกในเวลานี้คือ “ความต้องการของประชาชน” หรือจะกล่าวได้ว่า เสียงของประชาชนเป็น “เสียงสวรรค์” หากประชาชนต้องการ อยากจะเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจริงๆ ผมเชื่อเหลือเกินว่ามันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยพลังของประชาชน ต้องเกิดฉันทามติ
ยิ่งหากเราใช้รัฐธรรมนูญไปอีกสักระยะหนึ่ง ประชาชนเองจะมองเห็นปัญหามากขึ้น คงจะนำไปสู่การเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลง
และช่วงเวลานั้นคงไม่มีใครจะต้านทานความต้องการของประชาชนได้ ผู้มีอำนาจก็อยู่ไม่ได้ ถ้าหากประชาชนเห็นว่าควรถึงเวลาของการเปลี่ยนแปลงแล้ว พวกคุณไม่ควรประมาทเสียงเหล่านี้
แต่จะหวังเพียงเสียงจากฝ่ายค้าน ผมเข้าใจว่าอาจจะยังไม่สามารถทำอะไรได้เพราะมีเสียงไม่พอ ยังมีเงื่อนไขที่เขาเขียนล็อกไว้หลายประการ เช่น ทุกพรรคการเมืองต้องให้ความเห็นชอบ หากมีพรรคใดพรรคหนึ่งคัดค้าน เสียงที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญก็ไม่สามารถที่จะทำได้
ต้องฟังเสียงกระแสประชาชนและดูพฤติกรรมของรัฐบาลหลังจากนี้ด้วย
มองโฉมหน้า ครม.และอนาคตรัฐบาลนี้อย่างไรนั้น นายวันมูหะมัดนอร์บอกว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมามากกว่า 40 ปี ถ้ารัฐบาลที่เริ่มด้วยเสียงปริ่มน้ำแบบนี้ก็อยู่ยากแล้ว แถมนายกรัฐมนตรีเองก็ไม่สามารถที่จะตัดสินใจในการเลือกคณะรัฐมนตรีได้หมด
ส่วนใหญ่พรรคการเมืองที่เข้าร่วมก็กำหนดมาตามโควต้า เราก็จะมองเห็นว่า นายกรัฐมนตรีบารมีไม่พอที่จะคอนโทรลคณะรัฐมนตรีที่มาจากหลากหลาย แล้วไม่ต้องรอถึงแถลงนโยบายก็ดูทีท่าว่าไปไม่ไหวแล้ว ทั้งในรัฐบาลเอง พรรคร่วมรัฐบาลเอง ความไม่ลงตัวมีอยู่สูงมาก
ผมเชื่อว่าการบริหารงานจะมีปัญหาและอุปสรรคมาก และในที่สุดที่บอกว่าจะอยู่ได้ 6 เดือน – 1 ปี ก็นำไปสู่ความเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ได้ไม่เกิน 1 ปี ยิ่งถ้าหากอนาคตยังมีปัญหาเรื่องตำแหน่งแห่งหน ผมเชื่อว่า แค่บางพรรคถอนเสียงร่วมรัฐบาลออกเพียงนิดเดียว รัฐบาลก็ล้มได้เลย
ผมรู้สึกสงสารพี่น้องประชาชนโดยเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจที่มีความแย่ในทุกๆ ระดับ ปัญหาความยากจน ผมลงพื้นที่หลายจังหวัด แย่กว่าทุกๆ ปีที่ผ่านมา ร้านค้าปิดตัวจำนวนมาก คนที่อยู่ได้ก็แค่ระดับบน นักธุรกิจใหญ่ๆ ซึ่งทั้งหมดนี้มันจะยิ่งซ้ำเติมปัญหาของประชาชนมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฉะนั้น การที่รัฐบาลจะอยู่ได้แค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่นายกฯ หรือคณะสืบทอดอำนาจ แต่เพราะการแก้ปัญหาให้ประชาชน
ส่วนโฉมหน้า ครม. กว่า 90% ดูแล้วสิ้นหวัง ไม่ได้บอกว่าเขาไม่ได้มีความรู้ความสามารถ แต่หลายคนเข้าไปสู่ตำแหน่งในกระทรวงที่ไม่ได้ตรงกับความถนัด แถมบางคนมีประวัติน่าเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็เข้ามาอยู่ได้อย่างไรผมก็ไม่อาจทราบได้
มันยากที่จะมีประสิทธิภาพหรือว่ามีความหวังในสถานการณ์แบบนี้ แล้วผมคิดว่าหาคนที่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์นับตั้งแต่เบอร์ 1 ถึงเบอร์สุดท้ายในคณะรัฐมนตรีไม่ค่อยจะเห็นภาพชัดเจนประจักษ์ได้ว่าจะเป็นไปตามนั้น
ทั้งหมดนี้ทำให้ผมคิดว่าไม่น่าจะเกิน 6 เดือน อาจจะมีปัญหา อาจมีเรื่องของการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็จะพอเห็นได้ชัดว่า ไม่น่าจะมีศักยภาพในการแก้ปัญหา นี่ยังไม่รวมปัญหาของภายนอกประเทศ ปัญหาของภูมิภาคอาเซียน เศรษฐกิจโลก สงครามการค้านี้ ภายใน 1-2 ปีนี้เศรษฐกิจโลกก็จะไม่น่าดีขึ้นและจะส่งผลโดยตรงต่อประเทศไทย
บวกกับปัญหาภายในของเรา รัฐบาลเราก็อ่อนแออีก
อนาคต-ความพร้อมพรรคประชาชาตินั้น นายวันมูหะมัดนอร์บอกว่า เราได้ทำการประเมินผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา เกือบจะสมบูรณ์แล้ว เราก็จะนำเอาไปถกกันในที่ประชุมใหญ่พรรค เอามาวิเคราะห์ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้เราบกพร่องอะไรบ้าง แล้วถ้าเกิดมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ เราจะเอาบทเรียนนี้เข้าไปแก้ไขอย่างไร
ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่าครั้งหน้าเราจะได้ ส.ส.เพิ่มมากขึ้นแน่ แต่ในระหว่างนี้ สิ่งที่จะต้องเร่งทำให้เป็นที่ประจักษ์ก็คือ ส.ส. 7 คนของเรา ต้องทำผลงานให้ปรากฏ ให้ประชาชนได้เห็นว่าเราได้ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างไร
หลายคนอาจจะมองว่าพรรคเราเป็นพรรคเฉพาะถิ่น เช่น ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้บ้าง หรือถูกตั้งขึ้นมาเพื่อเลือกตั้งคราวนี้เพื่อสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยบ้าง สิ่งที่เราจะต้องทำให้ชัดเจนคือการทำให้ภาพพจน์ในการเป็นพรรคของทุกคน มีนโยบายและสัดส่วนกรรมการบริหารที่หลากหลาย เราจะปรับปรุงแก้ไขจุดนี้ให้ได้
เพราะว่าเรามีเจตนารมณ์ชัดเจนว่าเราจะเป็นพรรคการเมืองที่เป็นของพี่น้องประชาชน โดยอาศัยประสบการณ์กว่า 40 ปีของผมมาพัฒนาปรับปรุงนโยบายและคัดเลือกบุคคล เพราะต้องยอมรับครั้งนี้อาจจะมีเวลาน้อย
แต่ผมมั่นใจว่า ครั้งหน้า ถ้ามีการเลือกตั้ง พรรคประชาชาติจะได้เสียงมากขึ้นแน่!
https://www.youtube.com/watch?v=If-EfOnTigE