ทราย เจริญปุระ : ฉันคือโธมัส

-โธมัส-

ในศตวรรษที่ 2 นักบุญอิเรเนียส-บิชอปแห่งลียง- ได้เขียนหนังสือขึ้น 5 เล่มภายใต้ชื่อ “แอดเวอร์ซัส เฮเรเซส” หรือ “ต่อต้านลัทธินอกรีต” ซึ่งชื่อเต็มๆ คือ-การทำลายและล้มล้างองค์ความรู้อันเป็นเท็จ

ช่วงเวลานั้นเองที่แนวคิดนอสติกยุคแรกทั้งหมดเริ่มแยกออกไปจากความเป็นศาสนาคริสต์

โดยกลุ่มศาสนาไปสร้างบทบัญญัติเรื่องพระวรสารทั้งสี่ขึ้นมา โดยจำกัดแต่เฉพาะพระวรสารของ มัทธิว มาระโก ลูกา และยอห์น

ส่วนพระวรสารอื่นๆ นอกจากนั้นถือว่านอกรีต โดยอิเรเนียสอ้างว่า ในเมื่อจักรวาลนี้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน มีกระแสลมสี่ประเภท ดังนั้น ศาสนจักรต้องการเสาหลักเพียงสี่เสาเท่านั้น

ในพระวรสารทั้งสาม, มัทธิว มาระโก และลูกา ล้วนแต่พูดเรื่องเดียวกัน

มีแต่พระวรสารของยอห์นเท่านั้น ที่เชื่อมโยงไปถึงประวัติศาสตร์ที่แตกต่างจากอีกสามพระวรสารมาก

แม้แต่เหตุการณ์ในชีวิตของพระเยซูคริสต์ก็ยังไม่เข้ากับลำดับเวลาในพระวรสารของคนอื่นๆ

แต่หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระวรสารยอห์นถูกนำมารวมไว้ในพระคัมภีร์ฉบับมาตรฐานก็เป็นเพราะเพื่อนสาวกที่ชื่อโธมัสของเขา, ผู้ที่ถูกเรียกว่า “โธมัสผู้สงสัย”

มีแต่ในพระวรสารยอห์นเท่านั้นที่เล่าเรื่องโธมัสผู้สงสัย

มีแต่ยอห์นเท่านั้นที่วาดภาพว่าโธมัสเป็นคนไร้ปัญญา เป็นสาวกที่ไร้ศรัทธา

ส่วนพระวรสารอื่นๆ ล้วนแต่ให้ความนับถือโธมัส เพราะมีข้อขัดแย้งหลักๆ อยู่ประการหนึ่ง ที่ทำให้ต้องเลือกระหว่างพระวรสารทั้งสอง

นั่นคือยอห์นประกาศว่า มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่มีแสงแห่งการสร้าง โลกส่วนที่เหลือจะตกอยู่ในความมืดชั่วนิรันดร์

เส้นทางเดียวที่จะย้อนกลับสู่ความสว่าง กลับไปสู่ความรอดและพระเจ้านั้น มนุษย์จะพบได้เพียงทางเดียวเท่านั้น คือด้วยการบูชาพระคริสต์ผู้เป็นเจ้า

ในขณะของโธมัส, แม้จะเริ่มด้วยแสงสว่างแรก แสงแห่งการสร้างจากพระเยซูคริสต์เช่นกัน แต่กลับบอกว่า แสงนั้นดำรงอยู่ในทุกสรรพสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมนุษยชาติ ซึ่งถูกสร้างขึ้นให้เป็นตัวแทนของพระเจ้า และแสงสว่างนี้ซ่อนอยู่ในตัวคนทุกคน เพียงรอเวลาที่จะค้นพบ

แน่นอนว่า, วิธีอันเคร่งครัดและง่ายดายกว่าในการพบทางรอด ในการก้าวสู่แสงสว่างของยอห์นนั้น เหมาะสมมากกว่าในยุคเริ่มต้นเพื่อตั้งศาสนจักรให้เป็นปึกแผ่นให้ได้ ท่ามกลางความวุ่นวายหลากหลาย การยึดถือแสงสว่างเดียวโดยการบูชาพระคริสต์นั้น จะเป็นคู่มือที่เหมาะสมกว่าการกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนมีความสามารถภายในที่จะค้นหาพระเจ้า

โดยการมองลึกเข้าไปในตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องบูชาในแบบของโธมัสนั่นเอง

 

-บรรพบุรุษของพวกเจ้า, เขาอยู่ที่ไหนเสีย? แล้วบรรดาศาสดาพยากรณ์เล่า, เขามีชีวิตเป็นนิรันดร์หรือ?-

ถ้อยคำจากพระคัมภีร์ไบเบิล บทเศคาริยาห์ 1.5 ถูกนำมาใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ที่บอกเล่าเรื่องราวของโธมัส ชายหนุ่มวัยสามสิบสี่ปีผู้เต็มไปด้วยคำถามต่างๆ ที่อัดแน่นอยู่ในหัวและดูไม่มีทางจะลดน้อยลงไป โดยเฉพาะเมื่อหลังจากเหตุการณ์ที่ดอน บ๋านห์

เพื่อนสนิทของเขา ถูกตำรวจยิงตายในสนามหญ้าบ้านตัวเอง จากความสงสัยหนึ่ง นำไปสู่คำตอบที่รังแต่จะเพิ่มคำถามวนเวียนต่อเนื่องกันออกไป

โธมัสจึงตัดสินใจลักพาตัวเพื่อนเก่าอย่างเคฟ-นักบินอวกาศนาซ่า- ผู้ที่โธมัสมั่นใจว่าจะให้คำตอบและไขปมต่างๆ ที่ติดอยู่ในใจเขาได้

และเมื่อคำถามมีมากมายเกินกว่าที่เคฟจะตอบได้ เขาก็ไปลักพาตัวคนมากขึ้นและมากขึ้น แม่ของเขา อดีตนักการเมืองและทหารผ่านศึก พยาบาล ตำรวจ ครู

หนังสือทั้งเล่มดำเนินไปด้วยบทสนทนาที่ไม่เหมือนการแปลจากบทละคร มันระบุเพียงพื้นที่ทิ้งร้างห่างไกลซึ่งอาจจะเป็นแบบไหนก็ได้ในจินตนาการของผู้อ่าน ไม่บอกว่าใครเข้ามาทางไหน ออกไปที่ประตูสีอะไร

มีเพียงบทสนทนาที่ทำให้เราเข้าใจว่าระหว่างคน 2 คนนั้น

โลกที่พวกเขาเห็นมันต่างกันเพียงใด โธมัสและเหล่าผู้คนที่เขา “พา” ตัวมาคุยกันด้วยเรื่องราวหลากหลาย ทั้งปัญหาเรื่องนโยบายของรัฐบาล การคอร์รัปชั่น การทุ่มเงินลงไปในสงครามอันไม่มีวันจบสิ้น การใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่รัฐ ปัญหาในครอบครัว การล่วงละเมิดทางเพศ

และอื่นๆ อีกมากมาย

“ไม่มีใครมีแผนการสำหรับอะไรทั้งสิ้น ผมว่านั่นแหละคือสิ่งที่ทำลายเรา คือสิ่งที่ทำให้เราทุกคนเป็นบ้าไปกันหมด เราทุกคนมัวแต่คิดว่าคงจะต้องมีใครที่ฉลาดมากคอยควบคุมดูแลทุกอย่าง เป็นคนใช้เงินวางแผนให้โรงเรียน สวนสาธารณะ และทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แล้วปรากฏว่า ผู้ที่มีอำนาจกลับเป็นคนอย่างพวกท่าน ซึ่งก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกับผม ไม่มีใครรู้ห่าอะไรสักอย่าง”*

บางทีฉันก็ไม่แน่ใจ

ว่าที่ฉันเป็นอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันดีหรือเปล่า

ไม่ถาม ไม่พูด เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

ฉันกล้าหาญน้อยลงหรือฉันอดทนมากขึ้นกันแน่

“การถูกกล่าวหาเพียงครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนสงสัยในตัวเธอได้ สังคมเป็นแบบนี้ เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของเรื่องเป็นการกล่าวหา เราสามารถทำลายใครก็ได้ด้วยการกล่าวหา คนเราพร้อมจะขจัดใครก็ได้ทิ้ง…พร้อมจะเขี่ยเขาไปอยู่กับพวกทุรชน คนเลว อมนุษย์ได้เสมอ…ทำให้คนน้อยลงไปอีกหนึ่งคน โลกเรามีคนมากเกินไป แออัดเกินไปจนหายใจไม่ออก…จริงมั้ย การขจัดคนคนหนึ่งออกไปจะทำให้เราหายใจได้คล่องขึ้น แต่ละคนที่เราเขี่ยทิ้งทำให้ปอดของเราได้อากาศบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น”*

หรือฉันคือโธมัสผู้เปี่ยมความสงสัยและจะต้องตายไปโดยไม่มีวันได้รู้คำตอบแบบตรงไปตรงมาหรือเปล่า ฉันอยู่ตรงฝั่งไหนของผู้คน เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ถูกกล่าวหา

หรือเป็นสิบเปอร์เซ็นต์ผู้ชี้หน้าตัดสินคนอื่นพร้อมกลบฝังเรื่องราวของตัวเอง

“บรรพบุรุษของพวกเจ้า, เขาอยู่ที่ไหนเสีย? แล้วบรรดาศาสดาพยากรณ์เล่า, เขามีชีวิตเป็นนิรันดร์หรือ?” (Your Fathers, Where Are They? And The Prophets, Do They Live Forever?) เขียนโดย Dave Eggers แปลโดย นรา สุภัคโรจน์ ฉบับพิมพ์ครั้งที่หนึ่ง กันยายน, 2559 โดยสำนักพิมพ์เลเจนด์ บุ๊คส์

*ข้อความจากในหนังสือ