การ์ตูนที่รัก : The Mitchells vs. The Machines / นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

นพ.ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์

 

 

The Mitchells vs. The Machines

 

เรื่องนี้สนุกครับ ชื่อเรื่องไม่ดึงดูด สีสันจัดจ้านไม่น่าดู ลายเส้นวินาศสันตะโร เสียงดนตรีน่าหนวกหู แต่มุขที่ยิงออกมาทุกนาที สนุกมาก

คงไม่จำเป็นต้องเล่าเนื้อเรื่อง นั่งดูไปได้เรื่อยๆ จนจบ ข้อเขียนวันนี้ชี้ประเด็นทางจิตวิทยาครอบครัว

ฉากแรกที่น่าพูดถึงเมื่อแคธี่ลูกสาวคนโตสอบได้ไปเรียนสาขาวิชาภาพยนตร์ที่แคลิฟอร์เนีย เธอทำคลิปอำลากู๊ดบายครอบครัวจะอวดทุกคน แต่ไม่ทันที่เธอจะฉายคลิปจบคนเป็นพ่อขัดคอด้วยคำพูดว่าจะทำอะไรกิน

“พ่อคิดว่าหนูจะล้มเหลว?” แคธี่หยุดกึ๊ก

ฉากเดียวคุยได้หลายเรื่องเลย

 

สมัยใหม่และศตวรรษใหม่แล้ว เราเลี้ยงลูกเพื่อให้เขาเป็นตัวเขา เลือกสิ่งที่ชอบแล้วไปให้ถึง ดูแลตัวเองและเอาตัวรอดได้ เรารับฟังและไม่ตัดสิน อาจจะไม่ชื่นชมแต่ไม่รีบตั้งคำถาม นั่นนำไปสู่ข้อที่สอง

ไม่ขัดคอตรงกลางประโยคหรือกลางเรื่องเล่าตอนที่ลูกกำลังเล่า ฉากนี้ฉายชัดว่าพ่อขัดคอตั้งแต่ดูคลิปไม่จบซึ่งเชื่อได้ว่าคลิปไม่ยาว สมมุติเราพบสถานการณ์ลูกอยากอวดผลงานขนาดยาวแล้วเราไม่ว่างจะดู เราสามารถผัดผ่อนได้แต่ควรไปหาเวลามาว่างให้เขา “เห็น” ว่าเราว่างมากพอที่จะใส่ใจ

การขัดคอนำไปสู่บทสรุปของลูก “พ่อคิดว่าหนูจะล้มเหลว?”

คนเป็นพ่อมิได้หมายความอย่างนั้น เขาแค่ตั้งคำถามว่าจะเอาอะไรกิน ไม่ได้บอกว่าจะล้มเหลว แต่ง่ายมากที่ความหมายจะไหลไปทางที่แคธี่สรุป “ลูกไม่เก่งพออย่างนั้นหรือ?” แทนที่แคธี่จะได้ออกบ้านด้วยหัวใจพองโตกลับได้ความไม่ไว้วางใจจากพ่อไปแทน

จะเอาแบบนั้นไหมครับ

 

 

“แม่เตะพ่อทำไม” คนเป็นพ่อถามคนเป็นแม่ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เป็นความจริงว่าพ่อ-แม่หลายคนไม่รู้ตัวจริงๆ ว่าตนเองทำอะไรลงไปในนามของความรัก พวกเขาไม่รู้ตัวระดับนั้นจริงๆ ฉากนี้จบลงด้วยพ่อ-ลูกมีปากเสียงกัน

“ทำไมพ่อเป็นแบบนี้” แคธี่ขอตัวเข้าไปเก็บตัวในห้อง

“ทำไมลูกเป็นแบบนี้” พ่อรำพึงเมื่ออยู่คนเดียว

คนเป็นแม่เข้ามาคุยกับพ่อ เตือนให้เขาระวังว่าลูกสาวจะออกจากบ้านแล้วไม่กลับมาอีก “อะไรๆ พ่อก็ซ่อมได้ ระวังว่าเรื่องนี้เราจะซ่อมไม่ได้” คุณแม่ว่า

คืนนั้นพ่อเอาโฮมวิดีโอเก่าๆ มานั่งดู หนังฉายให้เห็นความน่ารักของ ด.ญ.แคธี่ครั้งยังเล็ก เธอน่ารัก สดใส รักพ่อ รอพ่อกลับจากทำงานที่ริมหน้าต่าง หัวเราะกับพ่อ ร้องเพลงกับพ่อ ไม่เห็นเหมือนแคธี่ตัวที่เป็นวัยรุ่นวันนี้เลย

นี่คือคำแนะนำที่ผมให้เสมอ เมื่อเราหมดใจกับลูกที่โตแล้ว ให้ไปค้นรูปเก่าๆ สมัยเขายังเล็กมาดู แล้วระลึกเสมอว่าเวลานั้นเราไม่ได้คาดหวังอะไรเลย เราสนุกกับเขาได้ทั้งวันเพราะเราไม่คาดหวังอะไร วันนี้เราคาดหวังมากมายนำมาซึ่งความตึงเครียดมากมาย

และเมื่อเวลาผ่านไป จะพบว่าหลายเรื่องเราเครียดฟรี เพราะที่แท้แล้วเขาเอาตัวรอดได้

 

อีกฉากที่ติดตามมาก็ดี ด.ญ.แคธี่ร้องไห้จ้าเมื่อต้องไปเข้าค่าย ดูสิ เวลานั้นเธอรักพ่อมากมายไม่เหมือนการทะเลาะกันที่โต๊ะอาหารตอนเย็นเลย ตอนที่หนูน้อยแคธี่ร้องไห้ไม่ยอมไปค่าย พ่อหยิบตุ๊กตากวางมูสมาให้เธอ บอกว่าเป็นตัวแทนของพ่อ มันร้อง “มู้สสสสส” ได้ด้วย แคธี่หัวเราะถือพ่อกวางมูสไปเข้าค่ายได้แล้วทีนี้

เวลานั้นการพรากจากพ่อ-แม่อาจจะเป็นเรื่องยาก เพราะความรัก ความผูกพัน และสายสัมพันธ์แน่นแฟ้น ประกอบกับพ่อ-แม่อาจจะมิได้มีอยู่จริงอย่างแจ่มชัดตามพัฒนาการปกติ เทคนิคมอบของดูต่างหน้าเป็นเรื่องช่วยได้

กลับมาที่ปัจจุบัน พ่อวางแผนแก้ตัวในตอนเช้า พ่อ-แม่ น้องชาย และหมาเตรียมรถคันเก่าของครอบครัวจะไปส่งแคธี่เข้าหอพักถึงแคลิฟอร์เนีย พ่อยกเลิกตั๋วเครื่องบินลูกสาวโดยไม่บอกกล่าวและเตรียมตัวเดินทางมาอย่างดี แต่แทนที่แคธี่จะชอบใจกับแผนเที่ยวด้วยกันเป็นครอบครัวครั้งสุดท้าย เธอกลับต่อว่าว่าเธอนัดเพื่อนๆ ที่มหาวิทยาลัยแล้ว และจะมีงานปาร์ตี้คืนนี้ด้วย นั่งรถไปจะไปไม่ทัน

คนเป็นพ่อ-แม่ ทำอะไรก็ผิด โปรดจำไว้ด้วย

“อ๊ากกกกกกกกกกกก!” เป็นแอนิเมชั่นแสดงอาการใกล้บ้าของแคธี่ที่ทำได้ขำมากและจริงจังมาก โปรดไปหามาดู ความรุนแรงของวัยรุ่นนั้นระเบิดเมืองทั้งเมืองได้เลยทีเดียว

 

ที่เล่ามาเป็นเพียงคำนำ เนื้อเรื่องที่แท้เป็นนาทีที่ 20 เมื่อบริษัทไอทีพัลเปิดตัวหุ่นยนต์รุ่นใหม่ที่จะมาแทนที่ “พัล” ในมือถือ แต่ไม่ทันที่จะกะพริบตาคลังหุ่นยนต์รับใช้กลายเป็นกองทัพหุ่นยนต์ร้ายกาจพุ่งออกจากแหล่งกระจายไปทุกทิศทุกทาง ตอนนั้นแคธี่และครอบครัวถึงแคนซัส

พ่อเสียบแผ่นซีดีเก่าที่แคธี่เคยร้องเพลงสมัยอนุบาลแล้วชวนเธอร้องเพลงด้วยกัน

“หนูโตเกินไปแล้วมั้งพ่อ” แคธี่เงยหน้าจากมือถือว่า

แม่ชวนพ่อแวะสวนไดโนเสาร์ข้างทาง แอรอน น้องชายแคธี่ชอบไดโนเสาร์มากระดับคลั่งไคล้รู้ทุกเรื่อง ปรากฏว่าเป็นสวนไดโนเสาร์แบบเด็กเอ๋อไม่มีอะไรสมจริงเลย แอรอนรับไม่ได้

ความผิดพลาดอีกข้อของคนเป็นพ่อ-แม่คือไม่รู้ว่าลูกโตแล้ว ยังคิดว่าลูกเป็นเด็กเอ๋อชอบร้องเพลงเด็กเอ๋อ หรือคิดว่าลูกยังเล็กชอบไปเที่ยวสวนสัตว์ ไม่ใช่เลย เพื่อนของพวกเขาอยู่ในมือถือ และพวกเขาต้องการอะไรที่จริงจังมากกว่าที่เคย

พวกเขาเป็นสัตว์ตัวใหม่ มิใช่ตัวเดิม

ที่สวนไดโนเอ๋อนี้เอง ที่พ่อเริ่มออกอาการอีกครั้งหลังจากพยายามเอาใจลูกสาวมาทุกทาง เขาเริ่มพูดเรื่องมือถือ “ลูกจะสัมผัสโลกได้ดีกว่านี้ถ้าไม่เอามือถือมากั้นกลาง” ไม่ทันขาดคำแคธี่ยกมือถือขึ้นส่องหน้าพ่อแล้วเติมแอพพ์ตัวประหลาดให้ใบหน้าพ่อตอนเทศนาไปด้วย

แต่วินาทีนั้นมือถือกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อหุ่นยนต์จำนวนมากร่อนลงมาจากท้องฟ้า

“นี่ไม่ใช่วันสิ้นโลกสักหน่อย” แคธี่บ่นกับพ่อ

แล้วมิสไซล์ลูกแรกก็พุ่งลงมา