ตามรอยศิลปะ ณ ดินแดนสเปน : พิพิธภัณฑ์ปราโด หมุดหมายสุดท้ายของสามเหลี่ยมทองคำแห่งศิลปะ (3)

ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์

ตามรอยศิลปะ ณ ดินแดนสเปน : พิพิธภัณฑ์ปราโด

หมุดหมายสุดท้ายของสามเหลี่ยมทองคำแห่งศิลปะ (3)

 

พิพิธภัณฑ์ปราโด ยังเป็นแหล่งรวมผลงานชิ้นเอกของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ชาวสเปน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดของสเปนในช่วงปลายยุคศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 อย่าง ฟรานซิสโก โกยา จำนวนมากมายหลายชิ้น

ซึ่งแต่ละชิ้นก็ถือเป็นผลงานระดับไฮไลต์ที่คนรักศิลปะทั่วโลกต่างหมายปองที่จะเดินทางมาชมให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ซึ่งก็รวมถึงคณะทัวร์ศิลปะอย่างพวกเราด้วยนั่นแหละนะ

เริ่มต้นด้วยผลงานอันสุดแสนจะเย้ายวนอย่าง The Naked Maja (1797-1800) ภาพวาดเปลือยที่ถือเป็นภาพวาดภาพแรกๆ ในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ที่นำเสนอ “ขนในที่ลับ” ของนางแบบในภาพอย่างชัดเจน โดยไม่แสดงนัยยะในแง่ลบหรือด้อยค่าตัวละครในภาพ (ว่าเป็นโสเภณีหรือนางโลม)

ตัวละครในภาพยังเป็นภาพของบุคคลผู้มีตัวตนอยู่จริง ไม่ใช่เทพธิดาหรือนางไม้ในเทวตำนานแต่อย่างใด ซึ่งผิดขนบการวาดภาพเปลือยในยุคสมัยนั้นอย่างมาก

นางแบบในภาพยังเปลือยกายอย่างเปิดเผยจะแจ้ง แถมยังจ้องมองมาที่ผู้ชมอย่างท้าทาย ไร้ความเขินอายแม้แต่น้อย จนเป็นที่อื้อฉาวกล่าวขานในยุคสมัยนั้นอย่างมาก

และผลงานที่มิดชิดเรียบร้อยกว่าอย่าง The Clothed Maja (1800-1807) ภาพวาดนางแบบคนเดิมที่โพสท่าแบบเดียวกันแทบจะไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่ภาพนี้เธอสวมเสื้อผ้าเต็มยศ

The Naked Maja (1797-1800) โดย ฟรานซิสโก โกยา

เชื่อกันว่านางแบบในภาพวาดนี้คือ เปปิตา ตูโด (Pepita Tudó) ภรรยาน้อยของ มานูเอล โกดอย (Manuel Godoy) เจ้าชายและนายกรัฐมนตรีของราชอาณาจักรสเปนในปี 1797 ซึ่งโกดอยเป็นผู้ว่าจ้างโกยาให้วาดภาพนี้ขึ้นมาเป็นของสะสมลับเฉพาะส่วนตัวของเขา

แต่บ้างก็ว่ากันว่านางแบบในภาพนี้คือ มาเรีย กาเยตานา เด ซิลวา (María Cayetana de Silva) หรือ ดัชเชสที่ 13 แห่งอัลบา สตรีสูงศักดิ์ผู้มีข่าวลือว่าแอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับโกยา หลังจากที่เขาถูกว่าจ้างให้วาดภาพเหมือนของเธอหลายต่อหลายภาพ

หลักฐานของความสัมพันธ์ที่ว่านี้มาจากจดหมายส่วนตัวที่โกยาเขียนถึงมาเรียที่มีข้อความว่า “ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการมีชีวิตอยู่นั้นเป็นอย่างไร”

หรือภาพวาดของมาเรียอย่าง Portrait of the Duchess of Alba ที่โกยาวาดภาพเธอสวมแหวนสองวง บนแหวนวงหนึ่งสลักว่า “โกยา” ส่วนอีกวงสลักว่า “อัลบา” ในขณะที่มือของเธอชี้ลงไปบนพื้นดินที่มีคำว่า “Only Goya” (มีเพียงโกยาเท่านั้น) เขียนอยู่ โรแมนติกอะไรขนาดนั้น!

ภาพวาดสองภาพนี้มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตกในฐานะภาพวาดที่นำเสนอภาพของนางแบบในร่างเปลือยและสวมใส่เสื้อผ้าเต็มยศ ในฉากหลังและท่วงท่าเดียวกันราวกับเป็นภาพต่อเนื่องกัน (แต่วาดเสร็จห่างกัน 7 ปี) ซึ่งเป็นลักษณะการวาดภาพที่เรียกว่า Pendant painting หรือภาพวาดต่อเนื่อง

ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครนำเสนอภาพวาดต่อเนื่องระหว่างนางแบบเปลือยกับนางแบบสวมเสื้อผ้ามาก่อน

ซึ่งการใช้รูปแบบการทำงานที่มักใช้ในภาพวาดทางศาสนามาวาดภาพในลักษณะนี้ ถือได้ว่าเป็นอะไรที่ท้าทายในยุคสมัยนั้นอย่างมาก

การนำเสนอภาพต่อเนื่องระหว่างภาพเปลือยและภาพสวมเสื้อผ้าเต็มยศในลักษณะนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในยุคสมัยปัจจุบัน กับผลงานภาพถ่าย Sie Kommen (Here They Come), Paris (Dressed and Naked) (1981) อันลือลั่นของ เฮลมุต (Helmut Newton) ช่างภาพแฟชั่นผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลในอีกร้อยกว่าปีให้หลังนั่นเอง

(ส่วนจะเป็นภาพยังไงไปก็ไปหาดูกันเอาเองก็แล้วกันนะ!)

The Clothed Maja (1800-1807) โดย ฟรานซิสโก โกยา

ตามมาด้วยผลงานอันสุดแสนจะสั่นสะเทือนอารมณ์จนทำให้เมื่อเราได้ไปเห็นเต็มสองตาก็ถึงกับตื่นตะลึง ลมหายใจขาดห้วง อย่างภาพวาด The Third of May 1808 (1814)

ผลงานชิ้นเอกของโกยาที่แสดงออกถึงความทารุณโหดร้ายของสงคราม ด้วยการนำเสนอเหตุการณ์อันสะเทือนอารมณ์ในการสังหารหมู่ประชาชนโดยเหล่าทหารจากกองทัพของนโปเลียน ที่บุกเข้าโจมตีสเปนในปี 1808 ระหว่างสงครามคาบสมุทร (Peninsular War)

โกยาเปลี่ยนขนบในการนำเสนอจุดเด่นของตัวละครในภาพวาดภาพนี้ที่มักอยู่ตรงกลางภาพมาอยู่ทางด้านซ้ายของภาพ โดยให้ผู้ชมมองตรงไปยังใบหน้าของเหยื่อผู้กำลังจะถูกสังหารหมู่ที่กำลังตื่นตระหนกและหวาดหวั่นกับความตายที่กำลังคุกคาม โดยเหล่าทหารผู้รุกรานผู้มองไม่เห็นใบหน้าชัดเจน

เขาถ่ายทอดห้วงขณะอันน่าสะเทือนใจ ด้วยแสงเงาที่ตัดกันอย่างเข้มข้นรุนแรง ในจุดที่สว่างไสวที่สุดเป็นภาพของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนผู้หวาดกลัว สายตาจ้องมองไปยังเหล่าศัตรูที่กำลังเล็งปืนหมายเอาชีวิตพวกเขา สองมือชูขึ้นเหนือหัวคล้ายกับยอมจำนน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีท่าทางราวกับพระเยซูกำลังถูกตรึงกางเขน

บนมือขวาของเขายังปรากฏร่องรอยที่ดูคล้ายกับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ (Stigmata) ซึ่งดูเหมือนกับว่าโกยาเปรียบภาพการสังหารหมู่ครั้งนี้กับการพลีชีพเพื่อไถ่บาปให้มวลมนุษย์ของพระเยซูก็ไม่ปาน

ภาพวาดของโกยาภาพนี้ แหวกขนบของภาพวาดแบบประเพณีทางศาสนาและภาพวาดสงครามตามแบบแผนอย่างสิ้นเชิง

ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพวาดแห่งยุคสมัยใหม่ภาพแรก และเป็นผลงานศิลปะที่เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติในทุกแง่มุมของการวาดภาพเลยก็ว่าได้

ภาพวาดภาพนี้ส่งอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นหลังมากมาย อย่างเช่น ภาพวาด Massacre in Korea (1951) ของ ปาโบล ปิกัสโซ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพวาดต่อต้านสงครามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาอย่าง Guernica (1937)

รวมถึงส่งอิทธิพลต่อภาพวาดชุด The Execution of Emperor Maximilian (1867-1869) ของจิตรกรชาวฝรั่งเศสแห่งกระแสเคลื่อนไหว อิมเพรสชั่นนิสม์ อย่าง เอดูอาร์ มาเนต์ (Édouard Manet) อีกด้วย

The Third of May 1808 (1814) โดย ฟรานซิสโก โกยา

พิพิธภัณฑ์ปราโด ตั้งอยู่บนถนน Paseo del Prado ใกล้กับสถานีรถไฟอโตชาและสถานีรถไฟใต้ดิน Banco de España (Bank of Spain) ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน

เปิดทำการวันจันทร์-เสาร์ เวลา 10:00-20:00 น. วันอาทิตย์เปิดทำการเวลา 10.00-19.00 น. วันที่ 6 มกราคม, 24, 31 ธันวาคม เปิดทำการเวลา 10.00-14.00 น.

หยุดทำการทุกวันที่ 1 มกราคม, 1 พฤษภาคม และ 25 ธันวาคม

สนนราคาค่าเข้าชม บุคคลทั่วไป 15 ยูโร, ผู้สูงอายุกว่า 65 ปี 7.50 ยูโร, เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี, นักเรียนนักศึกษาอายุ 18-25 ปี, ผู้พิการ, ผู้ว่างงาน เข้าชมฟรี

บุคคลทั่วไปสามารถเข้าชมฟรีในวันจันทร์-เสาร์ เวลา 18.00-20:00 น. วันอาทิตย์และวันหยุด เวลา 17.00-19:00 น.

ดูรายละเอียดการเข้าชมเพิ่มเติมได้ที่นี่ https://rb.gy/pwhrk

 

อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์