ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มีนาคม 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ |
ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
เผยแพร่ |
ตามรอยศิลปะ ณ ดินแดนสเปน : พิพิธภัณฑ์ทิสเซน-บอร์เนอมิสซา เหตุบังเอิญที่กลายเป็นช่วงเวลาดีๆ (2)
ในพิพิธภัณฑ์ทิสเซน-บอร์เนอมิสซา ยังมีผลงานของศิลปินคนโปรดของเราอีกคนอย่าง เบน ชาห์น ศิลปินคนสำคัญแห่งกระแสเคลื่อนไหว โซเชียล เรียลลิสม์ (Social Realism) อเมริกัน ผู้เป็นที่รู้จักจากผลงานภาพวาดที่ตีแผ่สังคมการเมืองอย่างตรงไปตรงมา อย่าง French Workers (1942) และ Carnival (1946)
ชาห์นเป็นหนึ่งในสมาชิกหลักของ จอห์น รีด คลับส์ (John Reed Clubs) กลุ่มศิลปินฝ่ายซ้ายสัญชาติอเมริกันที่มุ่งหมายให้ศิลปินยืนหยัดเคียงข้างผู้ยากไร้ ผู้ถูกกดขี่เอารัดเอาเปรียบ และต่อสู้เพื่อความยุติธรรม ขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติ และต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์
ถึงแม้ศิลปินโซเชียล เรียลลิสม์จะทำงานในหลากสื่อหลายแขนงอย่างงานจิตรกรรม ประติมากรรม, ภาพประกอบ และภาพพิมพ์ แต่ทั้งหมดก็ยึดโยงอยู่กับการใช้ภาพเหมือนจริงของร่างกายมนุษย์ รวมถึงความยึดมั่นในการยืนหยัดเคียงข้างชนชั้นล่างในสังคม, การยกระดับความสำคัญของชนชั้นแรงงาน และรำลึกถึงคนชายขอบผู้ถูกหลงลืมในสังคมอย่างคนยากไร้, ผู้อพยพ, ชนกลุ่มน้อย และคนในชุมชนแออัด
พูดง่ายๆ ก็คือ ศิลปินโซเชียล เรียลลิสม์เสาะแสวงหาหนทางในการใช้ศิลปะเป็นอาวุธ เพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างถึงแก่นนั่นเอง
หรือผลงานของ จอร์เจีย โอ’คีฟฟ์ ศิลปินชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช/ฮังกาเรียนผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการศิลปะสมัยใหม่แห่งศตวรรษที่ 20 เธอได้รับการยกย่องว่าเป็น “มารดาแห่งวงการศิลปะสมัยใหม่อเมริกัน” ผู้บุกเบิกที่ทางของศิลปินเพศหญิงในโลกศิลปะ อย่าง From the Plains Il (1954)
ภาพวาดชิ้นนี้ของโอ’คีฟฟ์ แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของงานแบบจารีตนิยมและการใช้รูปแบบเชิงสัญลักษณ์ในงานศิลปะโรแมนติก เพื่อปลุกเร้าความรู้สึกลึกล้ำเกินหยั่งถึงที่มีต่อการสังเกตและเฝ้ามองธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ให้ผู้ชมได้สัมผัส
ในภาพวาดนี้ โอ’คีฟฟ์คลี่คลายองค์ประกอบของทิวทัศน์ที่เธอเฝ้าสังเกตฝูงวัวที่ถูกต้อนให้วิ่งตะบึงไปทั่วที่ราบอันกว้างใหญ่ของเท็กซัส จนเกิดเป็นฝุ่นผงคละคลุ้งไปทั่ว พร้อมสุ้มเสียงอันอึกทึกครึกโครม สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ให้เหลือแต่สีสันอันฉูดฉาดบาดตา และเส้นสายอันเรียบง่าย แต่เฉียบขาดทรงพลัง
ภาพวาดภาพนี้เป็นเวอร์ชั่นที่สองหลังจากภาพแรกที่ โอ’คีฟฟ์วาดเอาไว้ตั้งแต่ปี 1919 ในภาพวาดขิ้นนี้ เธอวาดภาพท้องทุ่งกว้างใหญ่จรดฟ้าที่อาบด้วยสีสันเจิดจ้าราวกับเปลวเพลิงของพระอาทิตย์ตก
โอ’คีฟฟ์กล่าวถึงภาพวาดนี้ในจดหมายที่เขียนถึง อีดิธ ฮัลเพิร์ต (Edith Halpert) เจ้าของแกลเลอรีชื่อดังชาวอเมริกันว่า “เวลาวาดภาพนี้ ฉันใช้สีที่บีบจากหลอดโดยตรง สีแดง, ส้ม, เหลืองมะนาว ช่างกระแทกใจและทำให้ฉันตะลึงจนจินตนาการไม่ออกว่ามันจะพาฉันไปถึงไหนต่อไหน”
เหตุผลที่โอ’คีฟฟ์ลดรายละเอียดของภูมิทัศน์ในภาพวาดนี้จนแทบจะกลายเป็นภาพนามธรรม ก็เพราะเธอต้องการสร้างภาพที่ประทับอยู่ในความทรงจำของเธอ “ความทรงจำที่ฉันเห็นที่นั่นคือแสง แสงทุกหนทุกแห่ง” เธอหลงใหลในแสงนับแต่ครั้งที่เธออาศัยอยู่ในเท็กซัสอย่างยาวนาน จนกระทั่งเธอย้ายจากนิวยอร์กไปยังนิวเม็กซิโก และอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างถาวรในหมู่บ้านเล็กๆ ที่แสงแดดจัดจ้า ส่งผลให้ภาพของเธอเจิดจ้าด้วยแสงสว่างจนแทบจะโปร่งแสง
บางครั้งเธอก็สอดแทรกสัญลักษณ์ทางศาสนาลงไปในภาพวาด และวาดภาพขนาดใหญ่ เพื่อขับเน้นความกว้างใหญ่ไพศาลของภูมิทัศน์ทะเลทรายที่เธออาศัยอยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตนั่นเอง
เราเองก็เพิ่งเคยเห็นว่าโอ’คีฟฟ์ ทำงานในลักษณะนี้ด้วย เรียกได้ว่าแปลกตาและเฉียบขาดเอามากๆ
หรือผลงานของ แฟรงก์ สเตลล่า (Frank Stella) ศิลปินอเมริกันคนสำคัญของวงการศิลปะสมัยใหม่อเมริกัน ผู้มีส่วนช่วยในการถือกำเนิดและพัฒนากระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะในยุคต่อมาอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสเคลื่อนไหวทางศิลปะมินิมอลลิสม์ (Mimimalism)
ซึ่งตัวเขาเองก็ถูกยกย่องให้เป็นต้นธารของศิลปะกระแสนี้เลยก็ว่าได้
ในผลงาน Untitled (1966) ภาพวาดแถบรูปทรงเรขาคณิตสลับสี ขาว เทา ดำ ชิ้นนี้ ด้วยความที่สเตลลาเชื่อว่าสุนทรียะในงานศิลปะคือการนำเสนอรูปแบบและคุณค่าของความงามอันบริสุทธิ์เที่ยงแท้ โดยไม่เสแสร้ง หรือพยายามเป็นอะไรมากไปกว่าตัวของมันเอง
เขาใช้ความเรียบง่าย, ความมีระเบียบ และความสอดประสานกลมกลืนทางทัศนธาตุ ทำให้ผู้ชมมองเห็นและตอบสนองต่อสิ่งที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาอย่างตรงไปตรงมา วัสดุหรือวัตถุสิ่งของที่ศิลปินใช้สร้างเป็นตัวงาน จึงเป็นความจริงแท้ด้วยตัวมันเอง ไม่ได้เป็นตัวแทนของอะไรทั้งสิ้น ดังคำกล่าวของเขาที่ว่า
“ผมทำงานวาดภาพบนข้อเท็จจริงที่ว่า “สิ่งที่คุณเห็น ก็คือสิ่งที่คุณเห็นนั่นแหละ” ไม่ว่าจะเป็นภาพวาดอะไรก็ตาม มันไม่ได้เป็นอะไรมากกว่าวัตถุชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง
หรือผลงานของ ฟรานซิส เบคอน จิตรกรชาวอังกฤษ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 20 ผู้เปิดเผยเปลือยปลิ้นความบิดเบี้ยวในจิตใจมนุษย์ออกมาให้เราได้เห็นอย่างจะแจ้งถึงแก่นที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์
ในผลงาน Portrait of George Dyer in a Mirror (1968) ภาพวาดพอร์ตเทรตสะท้อนเงาจากกระจกเงาภาพนี้ เบคอนวาดภาพ จอร์จ ไดเยอร์ ชู้รักและนายแบบคนโปรดของเขาบนเก้าอี้หมุน หันหน้าไปทางกระจกที่วางอยู่บนชิ้นส่วนของเฟอร์นิเจอร์แปลกๆ และขาตั้ง ร่างกายและใบหน้าอันบิดเบี้ยวเขม็งเกร็งของนายแบบภายใต้แสงจัดจ้าในภาพ ตอกย้ำความรู้สึกรุนแรงโหดร้ายที่แฝงอยู่ในผลงานชิ้นนี้
ภาพสะท้อนใบหน้าบิดเบือนขาดวิ่นของไดเยอร์บนกระจกเงาสะท้อนถึงความปรารถนาที่จะตายของเขา (ซึ่งจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย) ด้วยภาพวาดนี้ ที่ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดแบบคิวบิสม์อันบิดเบี้ยวของปิกัสโซ เบคอนประสบความสำเร็จในการแสดงออกถึงความชั่วร้ายเลวทรามของมนุษย์ออกมาได้อย่างจะแจ้ง ทรงพลังยิ่ง
ภาพวาดของ จอร์จ ไดเยอร์ ภาพนี้แสดงออกถึงความงดงามและความรวดร้าวปนน่าสะพรึงไปพร้อมๆ กัน
ในพิพิธภัณฑ์ทิสเซน ยังมีผลงานชิ้นเด่นๆ ของศิลปินเซอร์เรียลิสม์ชั้นนำอย่าง ซัลบาดอร์ ดาลี, ฆวน มิโร, เรอเน มากริต (René Magritte), มักซ์ แอร์นส์ต (Max Ernst), โจเซฟ คอร์เนล (Joseph Cornell) ฯลฯ ที่ก่อนหน้านี้เราเคยดูแต่ในหนังสือเท่านั้น
ข้อสังเกตที่น่าสนใจอีกอย่างคือ หากผลงานศิลปะชิ้นไหนที่เป็นดาวเด่นของพิพิธภัณฑ์ ด้านหน้าผลงานชิ้นนั้นจะมีม้านั่งยาวตั้งอยู่ ประมาณว่าเอาไว้เผื่อให้คนที่ดูนานๆ นั่งแก้เมื่อยทำนองนั้น พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ยังเป็นมิตรกับผู้พิการ ผู้สูงอายุ และผู้ที่ใช้รถเข็นวีลแชร์อีกด้วย
หลังจากไปเยือนพิพิธภัณฑ์ทิสเซนเสร็จแล้ว เรากลับมาเปิดดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง ก็พบว่าพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญในประเทศสเปนสำหรับคนรักศิลปะทั่วโลก จนถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน “สามเหลี่ยมทองคำแห่งศิลปะ” (Golden Triangle of Art) ร่วมกับพิพิภัณฑ์ไรนา โซเฟีย และพิพิธภัณฑ์ปราโด เลยก็ว่าได้ เกือบพลาดไปแล้วไหมล่ะ!
หากมิตรรักแฟนศิลปะท่านใดมีโอกาสเดินทางไปกรุงมาดริด ประเทศสเปน ก็ขอแนะนำแบบเดียวกับที่คู่รักนักท่องเที่ยวผู้รักงานศิลปะแนะนำเรามาก่อนหน้า คือ “ห้ามพลาดเป็นอันขาด!”
พิพิธภัณฑ์ทิสเซน-บอร์เนอมิสซา ตั้งอยู่บนถนน Paseo del Prado กรุงมาดริด ประเทศสเปน
เปิดทำการวันอังคารถึงวันอาทิตย์ เวลา 10.00-19.00 น. วันจันทร์ เปิดทำการเวลา 12.00-16.00 น.
สนนราคาค่าเข้าชม บุคคลทั่วไป 13 ยูโร
ผู้สูงอายุกว่า 65 ปี และนักเรียนนักศึกษา 9 ยูโร
เข้าชมเป็นหมู่คณะ 11 ยูโร
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี, ผู้ว่างงาน, ผู้พิการ และผู้มีสัญชาติยูเครน เข้าชมฟรี
ดูรายละเอียดการเข้าชมได้ที่นี่ https://www.museothyssen.org/en/visit
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022