ภาพยนตร์/KING ARTHUR : LEGEND OF THE SWORD “ตำนานเก่าเล่าอีกทาง”

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

KING ARTHUR : LEGEND OF THE SWORD “ตำนานเก่าเล่าอีกทาง”

กำกับการแสดง Guy Ritchie

นำแสดง Charlie Hunnam, Jude Law, Eric Bana, Djimon Hounsou, Aidan Gillen, Astrid Berges-Frisbey

ตํานานกษัตริย์อาร์เธอร์แห่งอังกฤษ ซึ่งถือกันว่าอยู่ในราวคริสต์ศตวรรษที่สี่หรือห้านั้นเล่าขานกันมาแล้วร่วมพันห้าร้อยปี และปรากฏอยู่ในโลกวรรณกรรมตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 10

โดยมีเจฟฟรีย์แห่งมอนเมาต์เป็นผู้เขียนหนังสือชื่อ “ประวัติศาสตร์ของกษัตริย์แห่งบริเทน” ซึ่งคนรุ่นต่อๆ มาถือเป็นตำนานมากกว่าเป็นประวัติศาสตร์

สำหรับตัวผู้เขียนคอลัมน์นี้ เรื่องราวของอาร์เธอร์เข้ามาสู่การรับรู้ด้วยการดูหนังมิวสิเคิลเรื่อง Camelot (ค.ศ.1967) ซึ่งดัดแปลงมาจากนวนิยายของ ที. เอช. ไวต์ ชื่อ The Once and Future King

ตราตรึงใจประทับในความทรงจำไม่รู้ลืมด้วยเรื่องราวชวนฝันแสนเศร้ารันทดและกระหึ่มก้อง พร้อมกับเพลงไพเราะติดหูติดปากมาร่วมห้าสิบปี

หลังจากนั้นอีกหลายปี ก็ได้มีโอกาสแปลหนังสือคลาสสิคอันเป็นเรื่องราวพันลึกพิสดารด้วยรายละเอียดของตัวละครมากมายของ ที. เอช. ไวต์ ชุดนี้

โดยตีพิมพ์สองครั้งในชื่อ “อาร์เธอร์จอมราชันย์” (แพรวสำนักพิมพ์) และ “อาร์เธอร์ราชันแห่งนิรันดรกาล” (สำนักพิมพ์หนังสือเพื่อสังคม) อันประกอบด้วยเรื่องราวห้าภาค ได้แก่ “ดาบในศิลา” “ราชินีแห่งลมฟ้าราตรี” “อัศวินอัปภาคย์” “เปลวเทียนในสายลม” และ “คัมภีร์เมอร์ลิน”

ดังนั้น จึงเป็นธรรมดาอยู่เองที่เรื่องราวจากปลายปากกาของ ที. เอช. ไวต์ จะแจ่มชัดติดตรึงอยู่ในใจผู้เขียนมากที่สุด

เสมือนหนึ่งเชื่อเป็นตุเป็นตะว่าเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงๆ

ผู้เขียนติดตามดูหนังทุกเรื่องเกี่ยวกับคิงอาร์เธอร์อย่างกะพร่องกะแพร่งเท่าที่เจอะเจอ

โดยเน้นตัวละครต่างๆ ซึ่งรวมไปถึง ลานซล็อต กวินิเวียร์ เมอร์ลิน เซอร์กาลาฮัด ทริสตัน และ อิโซลด์ และเรื่องราวของคาเมล็อต อัศวินโต๊ะกลม

เรื่องราวของโรบิน ฮู้ด (ซึ่ง ที. เอช. ไวต์ บอกอย่างชวนขันว่าชื่อจริงคือ โรบิน อู๊ด ต่างหาก)

และการแสวงหาจอกศักดิ์สิทธิ์ (โฮลีเกรล ซึ่ง แดน บราวน์ บอกไว้ในจินตนิยายเรื่อง DaVinci”s Code ว่าไม่ใช่จอก แต่เป็นสัญลักษณ์แทนเพศหญิงต่างหาก) เป็นต้น

และแต่ละเรื่องก็ให้รสชาติแตกต่างกันไป

มา พ.ศ. นี้ มีหนังออกใหม่ล่าสุดในชื่อที่แปลว่า “กษัตริย์อาร์เธอร์ : ตำนานแห่งดาบ” โดยดัดแปลงและเล่าเป็นเวอร์ชั่นใหม่ด้วยจินตนาการตามสไตล์ของ กาย ริชชี่ (Sherlock Holmes ทั้งสองภาค และ The Man from U.N.C.L.E.)

หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องฉีกแนวออกไปโดยจับแพะชนแกะ เก็บเล็กผสมน้อย จับโน่นมาชนนี้

โดยเริ่มด้วยการปูพื้นถึงโลกของเวทมนตร์ ภายหลังยุคสมัยที่ผู้วิเศษเคยอยู่ร่วมอย่างสงบสุขกับมนุษย์มาแสนนาน

แต่ครั้นมาถึงกาลเวลานั้น มีพ่อมดชั่วร้ายชื่อมอร์เดร็ด (ชื่อนี้เป็นชื่อลูกชายนอกสมรสของอาร์เธอร์ มอร์เดร็ดเป็นคนชั่วร้ายเหมือนกัน และเป็นผู้ทำลายคาเมล็อตและโต๊ะกลมให้แตกเป็นเสี่ยงๆ ในช่วงท้ายๆ ของตำนานอาร์เธอร์) คิดจะทำลายคาเมล็อตซึ่งปกครองโดยกษัตริย์อูเธอร์ เพนดรากอน (เอริก บานา)

มอร์เดร็ดส่งกองทัพที่เป็นช้างศึกขนาดมหึมาจำนวนมากมาบดขยี้ทำลายปราสาทของอูเธอร์ และอูเธอร์เอาชนะและขับไล่อริราชศัตรูไปได้สำเร็จด้วยการกวัดไกวดาบกายสิทธิ์คู่บัลลังก์

ยังไม่ทันไร หลังจากศัตรูภายนอกราบคาบไป ศัตรูภายในก็ปรากฏโฉมในรูปของการทรยศจากพระอนุชาชื่อวอร์ติเกิร์น (จู๊ด ลอว์ ที่แปรโฉมจากพระเอกมาเป็นผู้ร้ายเต็มตัวในหนังเรื่องนี้) ซึ่งขายวิญญาณให้แก่เหล่าอสูรน้ำโดยเอาความเจ็บปวดของการสูญเสียของคนที่รักที่สุดไปแลกกับอำนาจความเป็นใหญ่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดในอาณาจักร (ตรงนี้คล้ายเรื่องที่เฟาสต์ขายวิญญาณให้แก่ซาตานนะคะ)

และแล้วเพื่อปกป้องชีวิตของลูกน้อยซึ่งเป็นรัชทายาทคนเดียวของราชบัลลังก์ อูเธอร์ลอบเอาอาร์เธอร์ใส่เรือไปเผชิญชะตากรรมของตัวเองเพื่อให้รอดจากเงื้อมมือของน้องชายจอมโหด (ตรงนี้ชวนให้นึกถึงเรื่องของโมเสสในพระคัมภีร์ที่ถูกจองล้างจองผลาญโดยฟาโรห์ผู้ชั่วร้าย) ขณะที่ดาบศักดิ์สิทธิ์คู่แผ่นดินจมหายลงใต้พื้นน้ำ

หลังจากนั้นอีกยี่สิบปี เมื่อน้ำลดลง ดาบซึ่งหลายคนรู้จักในชื่อว่า “เอ็กซ์คาลิเบอร์” ก็โผล่ให้เห็น โดยปักอยู่ในหิน แบบที่ไม่มีใครสามารถดึงขึ้นมาได้ โดยเชื่อกันว่าคนผู้ที่ดึงดาบคู่แผ่นดินเล่มนี้ออกจากหินได้ เป็นรัชทายาทที่ถูกต้อง

และนั่นเป็นสาเหตุให้วอร์ติเกิร์นมีบัญชาให้ค้นหาไปทั่วแผ่นดิน เพื่อหาชายหนุ่มที่สามารถดึงดาบขึ้นจากหินได้

ระหว่างนั้นอาร์เธอร์ซึ่งได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตขึ้นในซ่อง ก็ถูกเกณฑ์มาดึงดาบอันทรงพลังเล่มนี้ด้วย

นั่นคือต้นเรื่องที่เป็นที่มาว่าด้วยตำนานของดาบ

ในเวอร์ชั่นนี้ อาร์เธอร์ไม่มีความปรารถนาจะทำตัวเป็นพระเอกที่ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรมและช่วงชิงบัลลังก์กลับคืนจากน้องชายใจคดของพ่อเลย เขาทำทุกอย่างที่จะหลีกหนีจากชะตากรรมอันยิ่งใหญ่นั้น แม้จะมีกลุ่มต่อต้านอำนาจอันไม่ชอบธรรมของวอร์ติเกิร์นคอยหนุนหลังเขาอยู่

ในกลุ่มนั้นมีเซอร์เบลเวเดียร์ (ดจิมอน ฮุนซู จาก Gladiator และ Amistad) กูสแฟต บิล (ไอดัน กิลเลน จาก Game of Thrones) รวมทั้งผู้วิเศษสาว (แอสตริด แบร์เจส-ฟริสบีย์) ซึ่งเมอร์ลินส่งมาให้แทนตัวเพื่อช่วยเหลืออาร์เธอร์ และแม้ว่าผู้วิเศษสาวคนนี้จะไม่ปรากฏชื่อเสียงเรียงนามในหนัง แต่ก็เป็นที่เข้าใจว่า เธอคือกวินิเวียร์ ผู้ที่จะเป็นราชินีของอาร์เธอร์ในเวลาต่อมา

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผู้วิเศษเมอร์ลิน ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในชีวิตช่วงเยาว์วัยของอาร์เธอร์ ไม่ได้ปรากฏบทบาทในหนังนอกจากส่งตัวแทนมาให้ช่วยกอบกู้ราชบัลลังก์

สำหรับผู้เขียน หนังจึงขาดเสน่ห์ชวนจับใจของตัวละครที่น่าทึ่งตัวนี้ไปอย่างน่าเสียดาย

เนื่องจากตามตำนานนั้น เมอร์ลินเป็นผู้วิเศษที่ใช้ชีวิตกลับตาลปัตรกับคนอื่นๆ

นั่นคือเขาใช้ชีวิตย้อนหลัง ขณะที่คนอื่นๆ สูงวัยขึ้นเรื่อยๆ เมอร์ลินก็เด็กลงเรื่อยๆ ดังนั้น เมอร์ลินจึงล่วงรู้อนาคตเบื้องหน้าของมนุษยชาติด้วยการผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ที่ยังไม่เกิดขึ้นสำหรับคนทั่วไปมาแล้ว…เหมือนกับ เบนจามิน บัตตัน จาก The Curious Case of Benjamin Button ไงคะ คือใช้ชีวิตจากวัยชรามาสู่วัยเด็ก

นอกจากนั้น ตัวละครสำคัญในเรื่องราวของอาร์เธอร์ที่ไม่ได้ปรากฏตัวในหนังคือ ลานซล็อต อัศวินคู่ใจผู้หลงใหลราชินีกวินิเวียร์จนถอนตัวไม่ขึ้น

สงสัยว่าหนังคงเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ ว่าจะใช้ลานซล็อตในภาคต่อมา ถ้าเผื่อหนังฮิตติดตลาดจนสร้างเป็นไตรภาคได้

กาย ริชชี่ ใช้สไตล์การเล่าเรื่องตามแบบที่เขาถนัดอย่างหนึ่งคือ การตัดต่อภาพอย่างฉับไวเรียงร้อยเหตุการณ์เพื่อเล่าเรื่องย้อนหลังหรือเดินหน้าแบบแฟลชแบ็ก-แฟลชฟอร์เวิร์ด ด้วยอารมณ์ขันแบบหยิกแกมหยอก เพื่อให้ภูมิหลังของเรื่องราวและตัวละครบางตัว

หนังเดินเรื่องด้วยจังหวะอันว่องไว เต็มไปด้วยมุมกล้องและแอ๊กชั่นรอบตัว จนบางครั้งนึกอยากให้แอ๊กชั่นหยุดลงให้ได้หายใจหายคอกันบ้าง

ผู้เขียนออกจะรู้สึกว่าตอนต้นของหนัง…ซึ่งทำท่าจะเป็นหนังแอ๊กชั่นแฟนตาซีตามสมัยนิยมโดยการสอดใส่สัตว์ประหลาดแบบสตาร์วอร์ส เข้ามาเอาใจแฟนหนังรุ่นใหม่นั้น…ดูเฉไฉออกนอกเรื่องนอกประเด็นไปพอควร

อันที่จริงเรื่องที่น่าสนใจกว่าคือที่มาของดาบกายสิทธิ์อันทรงพลังเล่มนี้ ซึ่งหนังให้เราเห็นพลังอำนาจของมันเมื่ออาร์เธอร์จับไว้ในมือ ในลักษณะเดียวกับแหวนชั่วร้ายใน Lord of the Rings ยังไงยังงั้นเลย

โดยสรุปก็คือ เป็นหนังที่ดูได้พอประมาณ

แต่ยังไม่โดนใจจังๆ ค่ะ