หยิกเล็บเจ็บเนื้อ เสมือนส่งสัญญาณเตือน…

ภาพและข่าวที่ปรากฏบนเว็บไซต์สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อ 12 กันยายน 2559

ในมุมมองของคณะผู้จัดทำแล้ว ย่อมเป็นเรื่อง บวกและบวก เท่านั้น

“คุณผ่องพรรณ จันทร์โอชา นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานมอบฝายชะลอน้ำที่จัดสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในปีมหามงคลเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติครบ 70 ปี

และเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา

ซึ่งเป็นการดำเนินการตามโครงการพระราชดำริป่ารักษ์น้ำ ณ อุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย) ต.แม่คะ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

โดยจะเป็นฝายที่ทำประโยชน์ให้ประชาชนใน 15 หมู่บ้าน พื้นที่เกษตรกรรม 9,903 ไร่

ฝายนี้กั้นชะลอลำน้ำห้วยต้นผึ้ง ซึ่งถือเป็นลำน้ำต้นกำเนิดในเขตอุทยานแห่งชาติดอยเวียงผา (ปางปอย)

ไหลลงสู่ลำน้ำห้วยไคร้ ซึ่งเป็นลำน้ำที่สำคัญของประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์ในการกักน้ำไว้ใช้ในห้วงฤดูแล้ง

ฝายแห่งนี้จะเป็นฝายแรกที่จะเป็นการริเริ่มให้ประชาชนในพื้นที่ได้ร่วมกันดูแลรักษาทรัพยากรป่าและน้ำ และจะก่อให้เกิดความสามัคคี ความร่วมมือร่วมใจ

ของประชาชนในพื้นที่ในการที่จะช่วยกันก่อสร้างฝายชะลอน้ำในพื้นที่ต่อไป”

แต่ทันทีที่ภาพและข่าวนี้ ถูกนำไปแชร์ในโลกโซเชียล

บวกแปรเป็นลบ

และลามไปสู่การจับผิดตามมาในทันที

โดยเฉพาะภาพ นางผ่องพรรณ บนป้ายไวนิลขนาดใหญ่พร้อมๆ ข้อความ ฝาย “ผ่องพรรณพัฒนา”

เพราะภาพและข้อความดังกล่าว ที่ผ่านมามักจะเป็นวัตรปฏิบัติของ “นักการเมือง”

นักการเมืองที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาล มักประณามว่ามีพฤติกรรมสามานย์ ชอบใช้งบประมาณของราชการไปหาเสียงเป็นของตัวเอง

แต่ครานี้เป็นป้าย “ผ่องพรรณพัฒนา”

จึงกลายเป็นคำถามอันร้อนแรงของคนในโซเชียลมีเดีย “ว่าแต่เขา” หรือเปล่า

แล้วที่สุดเรื่องนี้ก็ “บานปลาย”

บานปลายไปทุกปม เช่น คณะของนางผ่องพรรณ มีหนังสือจากสำนักงานปลัด กห. ในการขอสนับสนุน เครื่องบิน ซี-130 รับส่งคณะ โดยระบุว่า เป็นคณะของปลัด กห. ไม่ได้ระบุว่าเป็น สมาคมภริยา สป. หรือพลเรือน

นอกจากนี้ ยังบานปลายไปสู่ “การเมือง”

เมื่อ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารระดับสูงอีก 3 คน กรณีใช้อำนาจหน้าที่เข้าไปเอื้อประโยชน์ให้แก่นางผ่องพรรณ ระหว่างการเดินทางเป็นประธานสร้างฝายชะลอน้ำ และตั้งชื่อฝาย ผ่องพรรณพัฒนา ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่

พร้อมกันนั้น ก็มีเหตุบังเอิญ ที่ช่วยทำให้เรื่องครอบครัวของ พล.อ.ปรีชา ร้อนขึ้นไปอีก

เมื่อ สำนักข่าวอิศรา ได้เสนอข่าวผ่านเว็บไซต์ ในช่วงเวลาเดียวกัน ว่า หจก.คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น ซึ่งมีบุตรชายคนโตของ พล.อ.ปรีชา ถือหุ้นส่วน

เข้าไปรับเหมาก่อสร้าง 2 โครงการ กับกองทัพภาคที่ 3 ส่วนหน้า คือสร้างอาคารค่ายพ่อขุนผาเมือง และตึกแถวนายทหารประทวน โรงพยาบาลค่ายวชิรปราการ จ.ตาก จำนวน 26.9 ล้านบาท ในช่วงปี 2558-2559

ครอบครัวของ พล.อ.ปรีชา กลายเป็นตำบลกระสุนตก

ถูกกล่าวหาในเรื่อง “ผลประโยชน์” และการประพฤติที่ไม่เหมาะสม เป็นระลอก

ทั้งนี้ ต้องไม่ลืมก่อนหน้านี้ พล.อ.ปรีชา และนางผ่องพรรณ ถูกตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับบัญชีเงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ของกองทัพภาคที่ 3 จำนวน 46.99 ล้านบาท

ที่นำไปสู่การตั้งข้อสังเกตต่างๆ นานา

แต่ที่สุดเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2558 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติว่า พล.อ.ปรีชา และภริยา ไม่ได้จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือมีเจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ตามมาตรา 34 ของกฎหมาย ป.ป.ช. แต่อย่างใด

แม้ พล.อ.ปรีชา และนางผ่องพรรณ จะรอดพ้นข้อกล่าวหา

แต่เชื้อแห่งความสงสัยก็ยังค้างคาอยู่

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อมีกรณีฝาย “ผ่องพรรณพัฒนา” เมื่อมีกรณีบุตรชายเข้าไปประมูลงานในกองทัพภาคที่ 3 เรื่องจะจุดติดโดยง่ายและกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันใด

ทำให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับ พล.อ.ปรีชา อยู่เฉยไม่ได้

เฟชบุ๊ก นักข่าวสายทหาร มีการเผยแพร่ข้อมูลชุดหนึ่งออกมาจากสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ชี้แจงกรณีการสร้างฝาย ที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ว่า เป็นไปตามแนวคิดของนางผ่องพรรณ

ที่ได้หารือหน่วยในพื้นที่ ตั้งแต่เมื่อ 23 สิงหาคม 2559 ในวันที่ได้ไปปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ที่ จ.ลพบุรี เพราะได้รับทราบปัญหาจากชาวบ้านในพื้นที่ อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ ว่าต้องการฝาย

จึงขอให้หน่วยในพื้นที่ไปสำรวจว่า ควรจะสร้างฝายในจุดใด รวมทั้งจะนำโครงการปลูกป่าเฉลิมพระเกียรติ ไปปลูกในพื้นที่ด้วย

จากนั้น ทางทหารก็ร่วมกับชาวบ้านในการสำรวจ และเลือกจุดที่จะสร้างฝาย

แล้วทหารและชาวบ้าน ก็ช่วยกันสร้างฝาย โดยใช้ไม้ไผ่และหิน ที่มีอยู่แล้วตามภูมิประเทศ

ไม่ได้ใช้งบประมาณอะไรมากนัก แค่ค่าอาหาร เครื่องดื่ม และน้ำมันรถ แต่ใช้แรงงานทหารกับชาวบ้าน ที่ร่วมกันทำด้วยใจ เพื่อให้มีแหล่งน้ำไว้ใช้

อีกทั้ง สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถือเป็นหน่วยในสำนักงานปลัด กห. ที่ดูแลด้านสวัสดิการ ขวัญกำลังใจของครอบครัวทหาร จึงเป็นสิ่งที่หน่วยในพื้นที่ให้การสนับสนุน และก็จะมีการมอบเงินช่วยเหลือหน่วย ให้ทุกครั้งที่มาเยือน

ส่วนเรื่องชื่อฝาย “ฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา” นั้น

ทางหน่วยรายงานว่า เกิดจากการที่ชาวบ้านช่วยกันคิดชื่อขึ้นมาเอง เพื่อเป็นการต้อนรับ เนื่องจากชาวบ้านมีความคุ้นเคย เคารพนับถือ คุณอู๊ด ผ่องพรรณ อยู่แล้ว

เพราะปกติ จะมาทำประโยชน์ให้ชาวบ้าน มาเยี่ยมเยียน มาแจกผ้าห่ม เพราะเห็นว่าอากาศหนาวเย็น และมีโครงการนำลูกหลานกำลังพล ที่เป็นเด็กพิเศษ ออทิสติก มาเที่ยวเชียงใหม่ อีกด้วย

ทั้งนี้ ในวันที่ไปปลูกป่า และทำพิธีเปิดฝายนั้น เกิดฝนตกอย่างหนัก ทั้งวันทั้งคืน ตั้งแต่ก่อนวันงาน ทำให้พื้นดินลื่น ทั้งนี้ ระยะทางเดินจากจุดลงรถ มายังฝาย ประมาณ 1 ก.ม. แต่นายกสมาคม ก็เต็มใจเดินมา สวมชุดกันฝน

แต่เพราะทางลื่น และชัน จึงต้องมีคนคอยให้พยุง เพื่อไม่ให้ลื่นล้มไปเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่มีรูปภาพนางผ่องพรรณ และฝาย ออกมา และภาพต่างๆ ตามมาอีก ทั้งภาพเก่า ภาพใหม่ นั้น มีการตั้งข้อสังเกตในหมู่ “คนใกล้ชิด” ว่า อาจมี “คนใน” ที่นำภาพเหล่านี้ไปส่งต่อ ไปเผยแพร่ และบิดเบือน เพื่อหวังผล เพราะรู้ว่านางผ่องพรรณเป็นเป้าทางการเมือง เพราะเป็นภริยา พล.อ.ปรีชา ปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชายนายกฯ เพราะเป็นจันทร์โอชา เป็นน้องสะใภ้นายกฯ อีกด้วย

จึงมีการสันนิษฐานใน 2 ประการคือ

หนึ่ง เกิดจากพวกที่ผิดหวังจากการแต่งตั้งโยกย้ายทหาร ในโผล่าสุด ที่ไม่พอใจปลัดกลาโหม

ประการที่ 2 อาจเป็นเพราะ อาจมีคนใน ที่ไม่พอใจ หรือไม่ชอบ นางผ่องพรรณ เนื่องจากเป็นคนดุ เข้มงวด เจ้าระเบียบ และอาจจะเคยดุใครไปแบบตรงๆ ก็อาจทำให้เกิดความไม่พอใจ แต่ถ้าใครที่รู้แนว ก็จะต้องทำงานอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด และตอบคำถามให้ได้ทุกคำถาม เมื่อนั้น คุณอู๊ดก็จะไม่ดุ

ถือเป็นข้อมูลในเชิงลึก และบอกข้อเท็จจริงหลายเรื่อง ซึ่งไม่ธรรมดา

ขณะที่ พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ชี้แจงสั้นๆ ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะพี่ชายได้โทรศัพท์มาหา และเตือนให้ระวังตัว ซึ่งผู้ใหญ่บอกให้เงียบๆ ไม่ต้องชี้แจงอะไร ซึ่งเชื่อว่าใครทำสิ่งใดไว้ก็ย่อมได้สิ่งนั้น ทั้งนี้ ตนไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง เราทำถูกต้องก็สบายใจ หากคิดว่าไม่ถูกต้องก็ต้องสืบหาข้อเท็จจริง

สำหรับการเปิดเผยประเด็นลูกชายตนเองนั้น ย้ำว่าไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะชงย้ายออกจากกองทัพภาคที่ 3 และใกล้จะเกษียณอายุราชการ อีกทั้งเป็นเรื่องเก่าเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ลูกชายเป็นคนดำเนินการเอง ขอให้ลูกชายเป็นคนชี้แจง อย่างไรก็ตาม ถ้า ป.ป.ช. จะเรียกให้ไปชี้แจงข้อเท็จจริง ก็ยินดีไป

เช่นเดียวกับ นางผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา กล่าวว่า ช่วงนี้เรตติ้งกำลังแรง ขออยู่เฉยๆ ดีกว่า ไม่มีอะไร เราตั้งใจทำให้ชาวบ้าน การตั้งชื่อฝายนั้น ต้องเข้าใจชาวบ้านในพื้นที่ เรียกตามภาษาพื้นเมือง อย่างเช่น พ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย ซึ่งพอเราถามชาวบ้านว่าอยากได้ชื่อฝายอะไร ชาวบ้านก็ตั้งชื่อฝายเป็นชื่อตนเองให้ โดยใช้ชื่อฝายแม่ผ่องพรรณพัฒนา เพราะจำง่ายดี

คุณอู๊ด-ผ่องพรรณ จันทร์โอชา เป็นคนพิษณุโลก

เกิดและเติบโตที่นั่น ในสกุล “กันตะบุตร”

เป็นบุตรสาวคนสุดท้องในพี่น้อง 8 คน ของ นายเปล่ง กับ นางพวงเล็ก กันตะบุตร

ฝ่ายแม่สกุลเดิม คือ “ประชาราษฎร์”

ด้านการศึกษา จบปริญญาตรี ครุศาสตรบัณฑิต สาขาจิตวิทยาการแนะแนว จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

ปริญญาโท มหาบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา จากมหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม พิษณุโลก

ยึดอาชีพครูสอนเด็กมัธยมอยู่ 3 ปี

จากนั้นเบนเข็มไปทำงานธนาคารกรุงเทพ เติบโตในแวดวงธนาคารมาตามลำดับ

ตำแหน่งสุดท้ายคือ ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนนเรศวร พิษณุโลก

ก่อนจะทิ้งงานแบงก์ที่ทำมากว่า 32 ปี เพื่อมาช่วยงาน พล.อ.ปรีชา

โดยคุณอู๊ด-ผ่องพรรณ รับหน้าที่นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม อย่างแข็งขัน

ด้านครอบครัว มีลูกชาย 2 คน

คนโต กบ-ปฐมพล อายุ 37 ปี

คนเล็ก ป้อม-ปฏิพัทธ์ อายุ 24 ย่าง 25 ปี ห่างกัน 12 ปี กบจบเกษตรศาสตร์ จบปริญญาโทออสเตรเลีย เคยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย

ส่วนป้อมจบนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร และเคยเป็นข่าวโด่งดังมาแล้ว

เมื่อมีเอกสารรั่วออกมาว่า พล.อ.ปรีชา ซึ่งปฏิบัติราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อนุมัติเข้ารับราชการทหารที่กองทัพภาคที่ 3

มีการตั้งข้อสงสัยว่าใช้อภิสิทธิ์พ่อในการเข้ารับราชการหรือไม่

ทําให้ ณ ตอนนี้ ครอบครัว พล.อ.ปรีชา และผ่องพรรณ พร้อมลูกอีก 2 คน ตกเป็นข่าว “ร้อน” ไปทั้งบ้าน

ถือเป็นทุกขลาภ และหลีกเลี่ยงยาก

เพราะ พล.อ.ปรีชา และครอบครัว รู้ดีว่า เป้าหมายย่อมไม่ได้อยู่ที่พวกตน

หากแต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยมากกว่า

บังเอิญ “จันทร์โอชา” ในฝ่ายผู้น้อง มีจุดอ่อนมากกว่า จึงถูกทะลวง โดยหวังตีวัวกระทบคราด

และเป็นการหยิกเล็บให้เจ็บเนื้อ–เสมือนเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่า นี่เพิ่งเริ่มต้น แห่งสงครามชิงอำนาจเท่านั้น