ศึก 3 เส้าเอสยูวี “ปลั๊กอิน” “บีเอ็มฯ-เบนซ์-วอลโว่”

สันติ จิรพรพนิต

เป็นที่แน่นอนว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง “ยานยนต์ไฟฟ้า” ตามนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบัน ซึ่งวางแผนระยะยาวถึง 20 ปี มีเป้าหมายภายในปี พ.ศ.2579 ประเทศไทยจะมีรถพลังไฟฟ้าวิ่งบนถนนสูงถึง 1.2 ล้านคัน

แม้รัฐบาลยังไม่ระบุชัดว่านโยบายนี้จะถูกบรรจุใน”แผนยุทธศาสตร์ชาติ”หรือไม่

แต่หากดูโครงสร้างที่ใหญ่โตเกี่ยวพันทั้งภาคอุตสาหกรรม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม บวกกับระยะเวลาที่เท่ากันพอดี ก็น่าสนใจอยู่

หากนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าเข้าไปอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติ ที่ทุกรัฐบาลนับจากนี้ต้องดำเนินการ ก็ชัดเจนว่านี่คืออนาคตของยานยนต์ไทย

เพราะหากรัฐบาลไหนคิดจะยับยั้งหรือเปลี่ยนนโยบาย รัฐบาลนั้นก็อาจจะโดนสอยเสียเอง

เนื่องจากจะมีองค์กรมาดูแล “แผนยุทธศาสตร์ชาติ” ที่รัฐบาลชุดปัจจุบันจะวางกรอบเอาไว้ และทุกรัฐบาลนับจากนี้ต้องดำเนินการ

พร้อมกันนี้หน่วยงานต่างๆ รับลูกนโยบายนี้ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง หรือคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ฯลฯ

ปตท. ก็มีบทบาทอย่างสูงในการสนับสนุนด้วยการสร้างสถานีชาร์จ หรือสถานีประจุไฟฟ้า โดยปีหน้าจะเปิดรวม 20 แห่ง

รวมถึงค่ายรถต่างๆ ก็พร้อมเข้ามามีส่วนร่วม

ยิ่งหากดูแนวโน้มการใช้หรือการผลิตรถของค่ายต่างๆ ที่มีรถพลังงานไฟฟ้า หรือกลุ่มรถปลั๊กอินไฮบริด หรือลูกผสมไฟฟ้า+น้ำมัน ที่นำเข้ามาเปิดตัวในเมืองไทยมากขึ้นเรื่อยๆ และได้รับความนิยมไม่น้อย

โดยเฉพาะในกลุ่มไฮบริดปลั๊กอิน เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะชาร์จพลังงานไฟฟ้าผ่านปลั๊ก หรือเติมน้ำมันก็ได้

แม้ตอนนี้ค่ายส่วนใหญ่จะเป็นในกลุ่มยุโรป แถมราคาก็เอาเรื่องอยู่ แต่ก็ได้รับความสนใจไม่น้อย

“ยานยนต์ สุดสัปดาห์ จึงถือโอกาสแนะนำ-เปรียบเทียบ 3 รถยุโรป-สแกนดิเนเวีย ที่ถือว่าเป็นรถหรูยอดนิยมของเมืองไทย

ทั้ง 3 รุ่นประกอบด้วย เมอร์เซเดส-เบนซ์ “จีแอลอี 500 อี 4 เมติก” (GLE 500 e 4MATIC)

บีเอ็มดับเบิ้ลยู”เอ็กซ์ 5 เอ็กซ์ไดร์ฟ 40 อี” (X5 xDrive 40e)

และวอลโว่ “เอ็กซ์ซี 90 ที 8” (XC90 T8)

X5 xDrive 40e
X5 xDrive 40e

รูปร่างหน้าตาภายนอกกันก่อน บีเอ็มฯ เอ็กซ์ 5 แน่นอนว่าคุ้นตาด้วยกระจังหน้าแบบ”ไตคู่” เอกลักษณ์ที่ยาวนานของแบรนด์นี้

กันชนหน้าออกแบบให้มีช่องรับลมขนาดใหญ่ ตอกย้ำความเป็นรถสปอร์ต ทั้งยังช่วยรีดอากาศและเพิ่มความลู่ลมมากขึ้น

ไฟหน้าแบบทรงกลม 4 ดวงอยู่ในกรอบใส เส้นสายด้านข้างดูโฉบเฉี่ยวตามสไตล์รถแนวสปอร์ต

ด้านคู่กัดตลอดกาลจากประเทศเยอรมนuคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ “จีแอลอี 500” ใช้กระจังหน้าขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมียมแบบ 2 แถบ พร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตรงกลาง เส้นสายหลังคาถูกออกแบบให้ลาดเอียงไปทางด้านท้าย

XC90 ใหม่
XC90 ใหม่

ขณะที่วอลโว่ “เอ็กซ์ซี 90” มีด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ที่เห็นแว้บเดียวก็รู้ว่าเป็นรถจากสวีเดน กระจังขนาดใหญ่มีเส้นโครเมี่ยมพาดทแยง

สะดุดตาสุดไม่พ้นไฟหน้าดีไซน์ใหม่ โดยจำลองแบบ”ค้อนแห่งเทพเจ้าธอร์” มีไฟแอลอีดีคาดแบ่งครึ่งทำให้ทรงพลัง

ฝากระโปรงหน้าเพิ่มเส้นสันใหม่ ไฟท้ายรูปทรงแปลกใหม่เรียกว่าไม่เคยเห็นกันมาก่อน

GLE500
GLE500

“จีแอลอี 500” ภายในดูเรียบหรูแต่แฝงอารมณ์สปอร์ต ด้านบนของคอนโซลหน้า และด้านบนของแผงหุ้มประตูหุ้มด้วยหนัง Artico พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมระบบผ่อนแรงและปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, ปุ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ (Push start)

ระบบแอร์อัตโนมัติ THERMATIC แบบ 2 โซน และระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ Bluetooth

เบาะนั่งหุ้มหนัง nappa พร้อมกับระบบ COMAND Online, ระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon Logic 7 และฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apply CarPlay)

เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ โดยเบาะนั่งด้านหลังสามารถพับได้ทั้ง 1:3 / 2:3

ตกแต่งไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี

เอ็กซ์ 5 “เน้นความหรูหราและความสง่างาม วัสดุหุ้มเบาะและสันภายในสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามที่ลูกค้าต้องการว่าจะใช้สีอ่อน หรือเข้ม

พร้อมแสงไฟสร้างบรรยากาศแบบแอมเบียนท์ มีปุ่มควบคุมระบบสัมผัส iDrive ใหม่ และจอ Control Display

XC90 ใหม่
XC90 ใหม่

ขณะที่ เอ็กซ์ซี 90 ไม่ต้องพูดถึงหรูหราไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหนังหรือว่าลายไม้ดูหรูหราจริงๆ

ยิ่งรุ่นล่าสุดเน้นระบบสื่อสารที่ควบคุมเทคโนโลยี และระบบข้อมูลขับขี่อัจฉริยะ หน้าจอสัมผัสแบบแท็บเล็ตขนาด 9 นิ้วบริเวณกลางแดชบอร์ด

ควบคุมเครื่องเสียงชุดใหญ่ ระบบโทรศัพท์ ระบบเนวิเกเตอร์ และควบคุมสั่งการระบบความปลอดภัยต่างๆ

เบาะนั่งหนังแท้ชั้นดี โอบกระชับเข้ารูป มี 7 ที่นั่ง

 

มาถึงส่วนสำคัญที่สุดคือขุมกำลัง “เอ็กซ์ซี 90” ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง เทอร์โบชาร์จ/ซูเปอร์ชาร์จ 1,969 ซี.ซี. กำลังสูงสุด 320 แรงม้า แรงบิด 400 นิวตัน-เมตร กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 87 แรงม้า แรงบิด 240 นิวตัน-เมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 5.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 230 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ เดินหน้า 8 สปีดพร้อม Geartronic

กระแสไฟฟ้าชาร์จแบตเตอรี่สูงสุดที่ 16A สามารถชาร์จไฟเต็มโดยใช้เวลาเพียง 2.5 ชั่วโมง พลังงานไฟฟ้าวิ่งได้ไกลสุด 40 กิโลเมตร

ส่วน”เอ็กซ์ 5″ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 245 แรงม้า แรงบิด 350 นิวตันเมตร กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้า 113 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตัน-เมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง 6.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ในเวลาเพียง 2.45 ชั่วโมง

วิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนได้ไกลถึง 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ปิดท้ายที่”จีแอลอี 500″ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน แบบวี เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 6 สูบ 2,996 ซีซี กำลังสูงสุด 333 แรงม้า กำลังจากมอเตอร์ไฟฟ้าที่ 116 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลาเพียง 5.3 วินาที ความเร็วสูงสุด 245 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ขับเคลื่อนด้วยระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติ “7G-TRONIC PLUS” แบบ DIRECT SELECT พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย

แบตเตอรี่แบบ “ลิเธียม ไอออน” ชาร์จไฟเต็มในเวลาประมาณ 4 ชั่วโมง สามารถขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว 30 กิโลเมตร ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

สนนราคา บีเอ็มดับเบิ้ลยู”เอ็กซ์ 5 เอ็กซ์ไดรฟ์ 40อี” ราคา 5,399,000 บาท

เมอร์เซเดส-เบนซ์” จีแอลอี 500 อี 4 เมติก” มี 2 รุนย่อย ราคา 4,490,000-4,990,000 บาท

และ วอลโว่”เอ็กซ์ซี 90 ที 8″ ราคา 4,490,000 บาท