วงค์ ตาวัน : ผลงานอาร์เคเค

วงค์ ตาวัน
AFP PHOTO / TUWAEDANIYA MERINGING

เคยมองกันว่า ถ้าหากการแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดภาคใต้ยังไม่จบลงในเวลาอันรวดเร็ว ยังคงมีเหตุร้ายเกิดขึ้นบ่อยๆ ถ้าสภาพการณ์ยังเป็นเช่นนี้ หากขบวนการก่อความไม่สงบในบ้านเรา มีระบบสื่อสารแถลงการณ์ เพื่อยืนยันว่าปฏิบัติการที่เกิดขึ้นแต่ละครั้ง เป็นฝีมือของขบวนการตนเองใช่แน่หรือไม่ จะช่วยตัดประเด็นข้อสงสัยหรือสับสนไปได้มากทีเดียว

นอกจากจะไม่ทำให้กลุ่มการเมืองอื่นๆ ถูกจับไปโยงอย่างมั่วซั่วแล้ว ยังเพื่อป้องกันการสร้างสถานการณ์จากฝีมือบางฝ่ายที่ทำให้ดูเหมือนเป็นฝีมือผู้ก่อความไม่สงบได้อีกด้วย

มาหนล่าสุด หลังจากที่เกิดเหตุรุนแรงต่อเนื่อง ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ที่มีการลอบวางระเบิดและระเบิดเพลิงใน 17 จุด 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน อันเป็นปรากฏการณ์ที่สร้างความน่าตกตะลึง

ต่อมาเกิดคาร์บอมบ์ถล่มโรงแรมที่ปัตตานี จนพังทรุด

จากนั้นมีวางระเบิดถล่มขบวนรถไฟที่ปัตตานีอีก

จนถึงการลอบระเบิดที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านตาบา ตากใบ นราธิวาส ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช็อกไปทั้งสังคม เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ไม่ควรเกิดเหตุรุนแรงเช่นนี้ อันส่งผลทำให้ 2 พ่อลูกต้องเซ่นสังเวยชีวิต ขณะที่พ่อกำลังพาลูกสาววัยอนุบาลมาส่งที่โรงเรียน

นำมาสู่การป่าวประณามไปทั่ว เรียกร้องให้ผู้ก่อความไม่สงบ มีขอบเขตปฏิบัติการ ไม่ควรลงมือในพื้นที่ที่กระทบต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ผู้อ่อนแอเช่น เด็กและสตรี

 

ในท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างอื้ออึงนี้เอง

มีรายงานข่าวจากสำนักข่าวเบนาร์นิวส์ของมาเลเซีย ระบุว่าได้สัมภาษณ์แกนนำอาร์เคเค ซึ่งเป็นกลุ่มนักรบของบีอาร์เอ็น ยืนยันว่าเหตุการณ์ระเบิดต่อเนื่องทั้งหมด เป็นฝีมือของกลุ่มตนเอง

ทั้งการระเบิดทั่ว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ระหว่างวันที่ 11-12 สิงหาคม รวมทั้งการระเบิดขบวนรถไฟสายกรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก ที่อำเภอโคกโพธิ์ ปัตตานี และเหตุระเบิดที่หน้าโรงเรียนบ้านตาบา ตากใบ นราธิวาส ด้วย

เหตุผลเพื่อเป็นการตอบโต้การเจรจาสันติภาพที่ไม่มีความคืบหน้า เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการไม่จริงใจในการพูดคุยของฝ่ายทางการไทย

สำหรับเหตุการณ์ระเบิดที่หน้าโรงเรียนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย โดยเป็น 2 พ่อลูกด้วยนั้น สำนักข่าวดังกล่าวระบุว่า แกนนำอาร์เคเคยอมรับว่าเป็นฝีมือของพวกตน แต่เป็นเรื่องสุดวิสัย ฝ่ายตนไม่ต้องการให้เกิดเหตุร้ายกับประชาชน เพราะเป้าหมายคือเจ้าหน้าที่

ถ้าหากรายงานข่าวชิ้นนี้มาจากการให้สัมภาษณ์ของแกนนำอาร์เคเคตัวจริง

จะถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ฝ่ายบีอาร์เอ็นออกมายอมรับว่าปฏิบัติการต่างๆ เป็นความรับผิดชอบของขบวนการพวกตน!

ขณะที่นายทหารระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรง พล.อ.อักษรา เกิดผล หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุข 3 จังหวัดชายแดนใต้ บอกว่าไม่เชื่อข่าวชิ้นนี้ โดยเฉพาะที่บอกว่าเพื่อตอบโต้การพูดคุยสันติภาพซึ่งไม่คืบหน้า คิดว่าไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะการก่อเหตุร้ายแรงไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อการเจรจาเลย

นอกจากนี้ พล.อ.อักษรา ระบุว่า จากการพบปะกับกลุ่มมาราปาตานีเมื่อต้นเดือนกันยายน ก็ได้รับการปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด จึงจะต้องประสานไปยังทางการมาเลเซียให้ช่วยตรวจสอบต้นตอข่าวนี้อีกครั้ง

นี่จึงเป็นอีกจังหวะก้าวของสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ ซึ่งน่าสนใจว่ามีพัฒนาการไปอีกขั้นแล้วหรือไม่

นั่นคือ ปฏิบัติการของอาร์เคเค สามารถกระจายไปทั่ว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน แล้วต่อเนื่องถึงการระเบิดรถขบวนรถไฟ และระเบิดหน้าโรงเรียน

รวมทั้งมีการออกมาให้สัมภาษณ์ประกาศตัวยอมรับว่าทำจริงอีกด้วย

เป็นเรื่องที่น่าสนใจค้นหาความจริงอย่างมาก

สำคัญสุดคือฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องเร่งหาข้อเท็จจริงให้ได้ความจริงที่ชัดเจน แล้วยอมรับว่าอะไรคือเหตุที่ทำให้ฝ่ายก่อความไม่สงบ ลงมือทั่ว 7 จังหวัดภาคโต้ตอนบน เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด

เพราะหากปล่อยเฉยต่อไป ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่มีการเร่งหยุดปัญหาให้ตรงเป้า ย่อมน่าเป็นห่วง เพราะคงไม่มีใครรู้ว่า แล้วฝ่ายก่อความไม่สงบจะลุกขึ้นมาวางระเบิดไปทั่วอีกหรือไม่ เมื่อไร แล้วทีนี้จะขยายไปลงมือในพื้นที่ไหนอีก

 

ไม่เท่านั้น หน่วยข่าวกรองเอง ยังได้สรุปรวบรวมเหตุการณ์ระเบิดทั่ว 7 จังหวัดภาคใต้ตอนบน ว่าหากสาเหตุเกี่ยวพันกับผลการลงประชามติจริง โดย 7 จังหวัดที่โดนระเบิด มีตัวเลขผู้ลงมติรับรัฐธรรมนูญค่อนข้างสูง

ถ้าเป็นเช่นนี้ ยังมีอีก 5 จังหวัดในภาคใต้ตอนบน ซึ่งอยู่ในกลุ่มจังหวัดที่รับรัฐธรรมนูญท่วมท้นด้วย จึงน่าจะต้องมีการระวังป้องกันให้ดี!

แม้แต่เมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ ในจังหวัดอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กทม. ก็ต้องป้องกันเข้มงวดด้วย

โดยหน่วยข่าวให้ระวังวงรอบของการก่อเหตุ โดยอาจจะรอให้เจ้าหน้าที่เริ่มผ่อนคลายการป้องกัน ในช่วง 2-3 เดือนหลังเกิดเหตุครั้งแรก

จึงเป็นช่วงเวลาที่ประมาทไม่ได้

หากเหตุระเบิดที่หน้าโรงเรียนในอำเภอตากใบ เป็นฝีมือของบีอาร์เอ็น ตามที่สำนักข่าวในมาเลเซียรายงาน โดยอ้างคำสัมภาษณ์แกนนำอาร์เคเคจริง ต้องนับว่าเป็นปฏิบัติการที่สร้างผลเสียในทางการเมืองของฝ่ายก่อความไม่สงบอย่างมาก

เพราะในการต่อสู้ด้วยการก่อการร้ายนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ขบวนการต่อสู้ จะต้องได้รับความร่วมมือจากมวลชนที่เป็นกลางๆ เพราะจะต้องเคลื่อนไหวใต้ดิน ซึ่งต้องอิงมวลชนประดุจปลากับน้ำ

แต่หากปฏิบัติการแล้วสร้างผลเสียทางการเมือง ย่อมกระทบจากการยอมรับของมวลชนในวงกว้างแน่นอน

 

มีผู้รอบรู้ด้านการก่อการร้ายในบ้านเรามองว่า ในอดีตนั้นขบวนการพรรคคอมมิวนิสต์ไทย ถือเป็นกลุ่มก่อการร้ายที่ใหญ่ที่สุดและเข้มแข็ง มีการจัดตั้งอันกว้างใหญ่

เริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธตั้งแต่ปี 2508 แล้วมาขยายตัวอย่างมากในช่วงหลัง 6 ตุลาคม 2519 เพราะกลุ่มอำนาจรัฐไทยใช้ความรุนแรงปราบปรามนักศึกษาประชาชน ทำให้นักประชาธิปไตยในเมือง หันมาร่วมการต่อสู้ด้วยอาวุธกับคอมมิวนิสต์ในป่าอย่างมากมาย

ในช่วงระหว่างการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์ จะพบว่าจะให้ความสำคัญกับผลทางการเมืองสูงสุด จะใช้กำลังอาวุธแต่ละครั้ง ต้องมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายผลได้ทางมวลชนเป็นหลัก

เช่น โจมตีค่ายของเจ้าหน้าที่ที่มีปัญหากับชาวบ้าน เกิดความโกรธแค้นไม่พอใจ เพื่อเรียกคะแนนนิยมจากมวลชน

หรือปฏิบัติการทางทหารของคอมมิวนิสต์ จะต้องไม่ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ

มีการตามสังหารเจ้าหน้าที่ที่มีเรื่องข่มเหงประชาชนเป็นรายบุคคล อะไรเหล่านี้เป็นต้น

เมื่อเทียบกับ ปฏิบัติการของกลุ่มก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดใต้แล้ว จะพบว่ามีข้อแตกต่างกันไม่น้อย

เพราะขบวนการเหล่านี้ จะไม่มีฐานที่มั่นในเขตป่าเขา ไม่มีระบบจัดตั้งที่ควบคุมได้ชัดเจน การลงมือวางระเบิดหรือโจมตีเจ้าหน้าที่ จะกระทำในเมืองเน้นการวางระเบิดแล้วไป ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลไปด้วย

อย่างไรก็ตาม หลักของการก่อการร้ายมักเน้นให้เกิดความรุนแรง ทำลายอำนาจรัฐให้ดูไร้ความมั่นคง ไปจนถึงสร้างความหวาดกลัวและแรงกดดัน ภาพปฏิบัติการใน 3 จังหวัดใต้ จึงมักนำมาซึ่งเสียงป่าวประณามอยู่เสมอๆ

แต่ขณะเดียวกันการป่าวประณาม คงไม่ได้ทำให้ปัญหายุติลง

แนวทางที่ดำเนินไปแล้วและควรจะสานต่อจนบรรลุก็คือการเปิดเจรจา หาทางกำหนดสภาพสังคมใน 3 จังหวัดใต้ที่สามารถสร้างความเป็นธรรมในด้านการปกครองและความหลากหลายทางศาสนา

นี่จะเป็นทางยุติไฟใต้ให้สงบลงได้อย่างยั่งยืน!