บันได | เรื่องสั้น : กมล กุดโอภาส

เรื่องสั้น | กมล กุดโอภาส

บันได

 

ผมเห็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองเต่ามาแต่น้อยจนอายุผมล่วงเข้าวัยกลางคนแล้ว

“บักแกลบนั้นหรือ กูเห็นมาแต่หัวเท่าหมากแข้ง” แม่ใหญ่สีวัยจวนจะแปดสิบเข้าให้แล้วเล่าสู่กันฟัง “มันก็ยิงขี้กะปอมอยู่แถวๆ บ้านขี้เหล็กนี่แหละ กูก็ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะได้เป็นนายก บุญของกูแท้ๆ ที่ยังไม่ตายเสียก่อน”

“กูเหมือนกันสี” พ่อใหญ่เสาร์เพื่อนแม่ใหญ่สี เจ้าของผืนนา 20-30 ไร่ แต่ได้ข้าวเปลือกไม่ถึงสามเกวียนสักปี จนกระทั่งอายุเท่าปูนนี้เข้าวงคุย “เกิดมาจนหัวหงอกไม่นึกไม่ฝันว่ากูจะได้เห็นบ้านขี้เหล็กเป็นออบอตอ นายกเชียวนะมึง ยังกะนายกประเทศเราเฮานะบ้านพวกเราน่ะ”

“เออบักเสาร์มึงรู้หรือเปล่าว่าบักแกลบมันกินอะไร” แม่ใหญ่สีเงยหน้าดูท้องฟ้าที่ไร้ก้อนเมฆมีแต่แดดอันแรงกล้า หญิงชรากระแอมกระไอกลืนน้ำลายลงคอก่อนพูดต่อ “มันถึงได้เป็นนายก”

“กูก็งึดหลาย บักแกลบขี้มูกกรัง” แล้ววงสนทนาก็หัวเราะขึ้นด้วยความขมขื่นกับวิถีชีวิตของชาวบ้านขี้เหล็กประจำตำบลหนองเต่า เป็นอีกตำบลหนึ่งของประเทศไทยที่ได้ยกฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว

 

บักแกลบของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าทั้งหลายภายในตำบลมีชื่อในทะเบียนราษฎร์สำมะโนครัวว่า นายอุทัย ศรีทุ่งเจริญ เกิดวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2512 เรียนจบ ป.6 ที่โรงเรียนหนองโนนนาประชาศิษย์วิทยา แต่วุฒิการศึกษาเริ่มต้นของเด็กชายอุทัยหรือที่เพื่อนๆ แถวหมู่บ้านเรียกเขาว่าไอ้แกลบแอบเดินก็ได้แค่นั้น

ส่วนฉายา “ไอ้แกลบแอบเดิน” ของนายกแกลบมีที่มา

พ่อของนายกแกลบ (แอบเดิน) ชื่อแหนบ ศรีทุ่งเจริญ เป็นคนบ้านขี้เหล็กโดยกำเนิด

แม่ของแกชื่ออุดร นาศรีเต่า เป็นคนบ้านหนองเต่าในตำบลเดียวกันกับสามี

นายกแกลบเกิดบนโนนขี้แกลบบนทุ่งนาหมอตำแยยังมาไม่ถึงด้วยซ้ำ ภรรยาของแกชื่อศรีวิไล ใจแม่น เกิดหลังท่านนายกคงสักสี่ห้าปีนี่แหละผมก็จำไม่ได้

คุณนายวิไลเป็นคนบ้านหนองเต่าบ้านเดียวกันกับท่าน แต่งงานกันตั้งแต่ตำบลหนองเต่ายังไม่แยกแตกซอยออกมาจากตำบลหนองโนนนาโน่นแหละครับ

เมื่อก่อนนั้นตำบลหนองโนนนามีอยู่หลายบ้านแต่จำนวนหลังคาเรือนไม่มากจึงมีไม่กี่หมู่ ต่อมาเมื่อแตกกอออกมาเป็นตำบลหนองเต่า สำมะโนประชากรระบุไว้ว่าตำบลหนองโนนนามีอยู่ 11 หมู่ ตำบลหนองเต่าออกมาทีหลังแต่มี 13 หมู่ ไม่ว่าตำบลอะไรบางหมู่บ้านบ้านบ้านเดียวมีถึง 3-4 หมู่ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเอาแค่ 50 หลังคาเรือนก็แยกหมู่ประชากรเข้าคูหาโหวตเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านได้แล้วพร้อมกับกำนันอีกคนหนึ่ง

กำนันคนแรกของตำบลหนองเต่าเกษียณชราภาพเสียชีวิตมาหลายปีแล้ว กำนันคนที่สองได้ยินข่าวว่าแกล้มหมอนนอนเสื่อมาหลายปีแล้ว กำนันคนที่สามเกษียณออกมาไม่กี่ปีพอมีสภา อบต.ขึ้นมา แกก็ได้เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองเต่า (ส.อบต.) รุ่นแรก หมดวาระ ส.อบต. กำนันจ้อนกำนันคนที่สามก็ได้เป็นนายก อบต.คนแรกของตำบลด้วยคะแนนท่วมท้นเป็นเอกฉันท์ ความจริงแล้วแกได้เป็นนายกคนแรกตั้งแต่เป็นกำนันแล้ว ได้เป็นนายกที่ได้รับการยกฐานะบรรดาศักดิ์เป็นนายกโดยตำแหน่ง ได้เป็นนายกแบบบุญหล่นทับ

นายกแกลบใช่ว่าจะเพิ่งลงสมัครเลือกตั้งนายก นายกแกลบลงเลือกตั้งครั้งที่สามถึงได้ยศตำแหน่ง ครั้งแรกแพ้กำนันจ้อนด้วยคะแนนเสียงอันถล่มทลายเกินจะไล่ทัน ครั้งที่สองหมดเงินหาเสียงไปหลายแสนแปะเรือนล้านก็สอบตก กำนันจ้อนได้เป็นนายกสมัยที่สอง

ครั้งที่สามนายกแกลบก็ชนะกำนันจ้อนอดีตนายกสองสมัยด้วยคะแนนอย่างฉิวเฉียด

 

นายกแกลบไม่ใช่ญาติสนิทของผม ก่อนที่จะเป็นนายกแกไม่เคยได้รับตำแหน่งใดๆ ทางการเมืองท้องถิ่นเลย ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะทำให้นายกแกลบรุ่นอาของผมได้รับตำแหน่งมากไปกว่าทรัพย์สินเงินทองที่แกมี

บักแกลบคือชาวนา คือคนเลี้ยงวัวของญาติมิตรพี่น้องในตำบล ที่นาของแกก็มีไม่กี่ไร่ แต่ดีตรงนี้ที่นาตรงนั้นเป็นอู่ข้าวอู่น้ำที่หว่านกล้าปักดำแล้วได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ดี แกเลี้ยงวัวอยู่หลายตัวจนกลายเป็นฝูง ถ้าหากขายหมดคอกคงได้เงินหลายแสน

ยุ้งข้าวของแกใหญ่ที่สุดในหมู่บ้านหนองเต่า แต่บ้านหลังแรกของนายกแกลบคือบ้านไม้ชั้นเดียวที่ยกใต้ถุนไว้ขังคอกวัวมุมหนึ่ง อีกมุมหนึ่งเอาไว้เก็บรถไถนาเดินตาม อีกมุมหนึ่งเอาไว้เก็บกระบะพ่วงรถไถนาเดินตามที่ทำด้วยไม้ มันจะมีประโยชน์จิปาถะทั้งขนกล้า ทั้งขนหญ้า ทั้งขนข้าวจากที่นาที่กองไว้เป็นฟ่อนอยู่บนทุ่ง ทั้งขนข้าวเปลือกที่นวดด้วยรถสีข้าวมาเทใส่ในยุ้งยังไม่ขนไปขายที่ลานข้าวพืชผล

ยุ้งของชาวนาเปรียบเสมือนธนาคารของพวกเรา พ่อกับแม่ของผมก็เป็นชาวนาเป็นคนบ้านขี้เหล็กไม่ไกลจากบ้านหนองเต่าบ้านของนายกแกลบ แค่วิ่งรถออกจากบ้านขี้เหล็กประเดี๋ยวเดียวก็ไปโผล่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านหนองเต่าแล้ว และบ้านของนายกแกลบก็ตั้งอยู่ตรงสี่แยกทางผ่านออกผ่านเข้าบ้านขี้เหล็กบ้านผมนั่นเอง

ถนนเส้นนี้สมัยผมเป็นเด็กๆ จนกระทั่งเรียนจบ ม.6 ไปต่อมหาวิทยาลัยแล้วก็ยังเป็นฝุ่นอยู่เลย แต่ทุกวันนี้ถนนหนทางหลายสายหลายหมู่บ้านกลายเป็นทางคอนกรีตไปหมดแล้ว รวมทั้งบ้านนายกแกลบที่เปลี่ยนสีเปลี่ยนทรงมาเรื่อยๆ เหมือนลิงที่ไม่อยู่นิ่ง เหมือนสีท้องฟ้าที่มีแต่จะเจิดจ้าขึ้นทุกวัน

แต่ดวงตะวันมันก็ทำให้โลกเราร้อนขึ้นทุกปีๆ

 

นายกแกลบมีลูกชายสองคน อีกคนเป็นลูกสาวคนเล็ก ลูกสาวคนเล็กนี่เติบโตมาได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่ต่างจังหวัด จบปริญญาออกมาเธอก็ไม่ได้ไปสอบบรรจุทำงานที่ไหน เธอเอาผัว แต่ผัวเธอก็ตายตั้งแต่ตั้งครรภ์ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์

พี่ชายคนใหญ่ไปมีฐานะครอบครัวค้าขายมั่งคั่งอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งเป็นครอบครัวของลูกที่ท่านนายกชอบเล่าให้ใครต่อใครได้ยินอยู่เสมอ

ส่วนลูกชายอีกคนของแกก็หอบลูกหอบเมียมาอยู่กับบ้านช่วยนายกแกลบหาเงินหาทอง ช่วยพ่อแม่ทำนาเลี้ยงวัว

ส่วนลูกสาวปัจจุบันไปเปิดร้านมือถืออยู่ในตัวอำเภอ มันเป็นยุคที่ธุรกิจออนไลน์กำลังทำเงิน เธอมีเงินมีทองขนาดถึงหอบเงินหอบทองมาช่วยพี่ชายหาเสียงจนได้เป็นสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองเต่า เป็น ส.อบต.อยู่หลายสมัยตราบจนกระทั่งทุกวันนี้

วันที่ผู้พ่อได้เป็นนายก ผู้เป็นลูกได้เป็นสมาชิก แต่เธอก็ยังปักฐานที่มั่นอยู่กับธุรกิจมือถือเหมือนเดิม

บ้านขี้เหล็กของพวกผมเป็นหมู่บ้านขนาดกลางมีอยู่สองหมู่แล้วเรียกกันใหม่ว่าบ้านขี้เหล็ก-ดงมะไฟ ขี้เหล็กคือหมู่ 4 บ้านดงมะไฟคือหมู่ 12 ถ้าใครมาจากตัวอำเภอจะไปบ้านขี้เหล็กต้องผ่านบ้านหนองเต่า หมู่บ้านเล็กๆ หมู่ 2 อันเป็นบ้านของนายก อบต. ใครที่ผ่านไปแถวนั้นจะต้องผ่านหน้าบ้านของนายกแกลบทุกครั้ง แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าจะเข้าหมู่บ้านขี้เหล็กของผมต้องผ่านคุ้มดงมะไฟ หมู่ 12 ที่สองหมู่นี้บ้านจะติดกันทำให้บุรุษไปรษณีย์สับสนอยู่บ้างเวลาจะไปส่งไปรษณีย์

ผมจะไปทำงานก็ต้องผ่านหน้าบ้านนายกแกลบ ผมจะกลับบ้านหลังเลิกงานก็ต้องผ่านหน้าบ้านของแกอีกแทบไม่เว้นวัน แม้กระทั่งวันเสาร์วันอาทิตย์เวลาผมมีกิจธุระจะเข้าอำเภอจะเข้าจังหวัด เวลาว่างของท่านผมจะเห็นนายกแกลบแกนั่งอยู่หน้าบ้านในชุดกางเกงขาสั้น เสื้อยืดกับรองเท้าแตะยี่ห้อนันยางพื้นหนาเตอะคุยกับเพื่อนบ้านอยู่เป็นประจำ บางครั้งแกก็กวักมือเรียกผมเป็นกัลยาณมิตรไมตรีอย่างหนึ่งที่พวกเราในอดีตไม่เห็นกันบ่อยนักแถวบ้านขี้เหล็กแถวบ้านหนองเต่า

“สวัสดีครับอาจารย์ไปไหนน้อ” สีหน้าของนายกแกลบเบิกบานไปด้วยรอยยิ้ม จะไม่ให้จอดรถมอเตอร์ไซค์คันเก่าๆ แล้วยกมือไหว้ก็กระไรอยู่

“กะว่าจะเอามือถือไปให้นังวิไลน้อยดูให้ซักหน่อยครับท่านนายก”

ผมเดินเข้าไปในร้านค้าใต้ถุนบ้านที่แกดีดขึ้นโยกย้ายก่ออิฐก่อผนังใหม่เสียจนจำเค้าเดิมไม่ได้ ข้างๆ ตู้แช่เครื่องดื่มภายในห้องมีโต๊ะคล้ายโต๊ะแคชเชียร์ มีปากกา มีสมุดฉีกปึกใหญ่ มีเครื่องคิดเลขกองอยู่ระเกะระกะบนโต๊ะแผ่นกระจกสีชา มีรูปถ่ายสองสามรูปแนบอยู่ด้านล่าง เห็นแล้วให้นึกถึงความฝันเมื่อคืนวาน วันนี้ก็ใกล้จะถึงวันหวยออกแล้ว อยากเล่าให้ท่านนายกฟัง ผมเปิดตู้เอาเครื่องดื่มชูกำลังแล้ววางเงินเหรียญ 10 บาทลงบนฝ่ามือนายกแกลบที่ยื่นออกมาในจังหวะเดียวกัน

วันนั้นผมไม่ได้เล่าความฝันให้ท่านนายกฟังเพราะกลัวมันจะไม่แม่น ให้ถึงวันหวยออกก่อนค่อยว่ากัน ผมเป็นคนชอบซื้อหวย ซื้อล็อตเตอรี่ นานๆ ทีจะถูกสักงวดหนึ่ง เราลงทุนแค่หนึ่งบาทเราจะได้กำไรหกสิบเก้าบาท เป็นการลงทุนที่มีผลกำไรสูงละลิ่ว ขอแต่ให้มันได้เถอะ ผมเห็นนายกกับหวยมาตั้งแต่ท่านเป็นทิดแกลบของชาวบ้านอยู่โน่นแหละครับ ซึ่งตอนนั้นผมกำลังล่องไปล่องมาเรียนหนังสืออยู่ อีกทั้งร้านค้าของทิดแกลบก็ขยับขยายมาเรื่อยเหมือนฟ้าค่อยๆ ถูกระบายสี

จากแสงเจิดจ้าร้อนแล้งจนกลายเป็นฟ้าสีฟ้าอร่ามเย็นตาน่าแหงนดูชมเสียจริงๆ

 

แรกเริ่มเดิมทีบ้านของทิดแกลบก่อนที่จะมาเป็นนายกสร้างด้วยไม้ดิบธรรมชาติไม่ได้ซื้อมาจากโรงเลื่อยที่ไหน ตามชายป่าชายดงในสมัยนั้นมีไม้ต้นใหญ่หลายต้นพอที่จะเอามาเลื่อยทำบ้านได้เป็นหลัง หลายปีต่อมาตอนที่นังวิไลน้อยยังเด็กอยู่นั้นทิดแกลบก็เอาสีมาทาบ้านให้กลายเป็นสีขาว เปลี่ยนหลังคาที่เคยมุงสังกะสีจนขึ้นสนิมให้กลายเป็นหลังคามุงกระเบื้องสีเขียวใบไม้ ผมก็ไม่เข้าใจว่าแกกำลังทำอะไรของแกอยู่ เพราะเห็นแกตกแต่งบ้านแทบจะทุกปีจนทุกวันนี้แกก็ย้ายคอกวัวในหมู่บ้านไปอยู่ที่ชายทุ่งที่นาของแกแล้ว อีกทั้งที่นาของแกก็เริ่มเพิ่มเนื้อที่ขึ้นมาเรื่อยๆ นับหลายๆ ปีจนมีไม่รู้อีกกี่สิบไร่ พร้อมๆ กับการเจริญเติบโตของลูกๆ ที่ท่านนายกเองประกาศด้วยความภูมิใจว่าพวกเขาได้ดิบได้ดีด้วยกันทุกคน

ด้วยความเซ้าซี้ของท่านนายกอยู่สองสามวันผมก็เล่าความฝันไม่นานที่ผ่านมาให้แกฟัง แกฟังแล้วแกก็หัวเราะเอิกอ้ากออกมาด้วยความสนุกสนาน ผมเล่าสู่ท่านนายกฟังว่า “ผมฝันอยู่สิบวันติดต่อกัน แปลกประหลาดเหลือเกินเท่าที่ผมเคยฝันมาเลยท่านนายก แปลกจริงๆ วันแรกผมฝันเห็นเลข 0 วันที่สองผมฝันเห็นเลข 1 วันที่สามผมฝันเห็นเลข 2 วันที่สี่ผมฝันเห็นเลข 3 วันที่ห้าผมฝันเห็นเลข 4 วันที่หกผมฝันเห็นเลข 5 วันที่เจ็ดผมฝันเห็นเลข 6 วันที่แปดผมฝันเห็นเลข 7 วันที่เก้าผมฝันเห็นเลข 8 วันที่สิบผมฝันเห็นเลข 9 แล้วนี่จะไม่ให้ผมว่ามันประหลาดได้ยังไงท่านนายก”

เสียงหัวเราะของท่านนายกดังเหมือนกลองเพล แกเอามือป้องปากหัวเราะแทบท้องคัดท้องแข็ง ซึ่งผมเล่าจบสีหน้าของผมคงเด๋อๆ ด๋าๆ งงๆ อย่างไรอยู่

หัวเราะเสร็จท่านนายกก็พูดขึ้น “ก็มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกอาจารย์”

“แปลกสิครับ ทำไมจะไม่แปลก” ผมคุยต่อ แล้วท่านนายกก็รินเบียร์เย็นๆ ให้ผม “ผมว่ามันพิสดารเลยล่ะครับ”

“มันจะแปลกอารายอาจารย์” เสียงยานของท่านนายกเหมือนคนกำลังกินข้าวอิ่มใหม่ๆ “ตัวเลขมันก็มีอยู่ 0 ถึง 9 มันก็มีอยู่แค่นั้น เฮาสิถูกเลขตัวไหนมันก็วนอยู่ตั้งแต่ 0 ถึง 9 นี่แหละอาจารย์เอ๋ย”

“ยังงั้นหรือครับนายก” ความรู้สึกบอกผมว่า จริงอย่างที่ท่านพูด เรียนหนังสือก็เหมือนกัน เราต้องเรียนตั้งแต่ ป.1 ถึง ป.6 แล้วไหนต้องต่อ ม.1 ถึง ม.6 อีกรอบหนึ่งกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยซึ่งต้องไปต่ออีกตั้งแต่ ปี 1 ถึง ปี 4 ใครสมองดีป่องหนังสือยิ่งไปกันใหญ่ สอบติดแพทย์ กว่าจะเรียนจบต้องทุลักทุเลเอาแทบหัวหกก้นขวิด

“มันไม่ยากหรอก ไอ้วุฒิการเรียน” นายกแกลบเคยคุยกับผมครั้งหนึ่ง

“อย่างผมนี่เข้าเรียนบ้างไม่เรียนบ้าง แทบสิบ่อ่านหนังสือด้วยซ้ำ ก็ได้แล้ว ม.6” แกหมายความถึงการเล่าเรียนกับสถาบันการศึกษานอกโรงเรียน ที่เรียนแม้แต่คนเฒ่าคนแก่หากอยากจะเรียน พอได้เรียกว่ามีการศึกษากับคนไทยส่วนน้อยที่ได้เรียนหนังสือชั้นสูงอยู่บ้าง ส่วนประชาชนคนตำบลหนองเต่าแห่กันไปเรียน กศน. ในตัวอำเภอชุกชุมเหมือนดอกเห็ดที่โนนขี้แกลบเกิดขึ้น บานขึ้นเมื่อช่วงเข้าฤดูฝน อันเป็นฝนเทียม ซึ่งชาวนาตำบลหนองเต่าต้องพึ่งบุญญาธิการทุกปี อากาศมันร้อนแล้งและดินมันก็แยกแตกระแหงอย่างไม่เป็นท่า นี่เป็นจุดขายอย่างหนึ่งของนายกแกลบ แกบอกกับชาวบ้าน “ถ้าหากกระผมได้เป็นนายกตำบลหนองเต่าบ้านพี่บ้านน้องของพวกเฮา น้ำสิบ่ได้ขาดบาดาลสิบ่ได้ซื้อ”

“เอามันโลด กูสงสารมัน มันคงหมดไปหลายตังค์” เสียงซุบซิบนินทาของชาวบ้านตำบลหนองเต่าแว่วเข้าหูให้ผมได้ยิน ปัญหาคอร์รัปชั่น ปัญหากินบ้านกินเมืองนั้น เป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกมาแต่ไหนแต่ไรแล้วของแวดวงการการเมืองไทย ส่วนตัวผมเองแล้วถึงแม้จะเป็นถึงครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์อย่างผมก็ทำงานการสอนแบบเฉไฉบ่ายเบี่ยงเหมือนวงการข้าราชการหน่วยงานอื่นๆ ไปได้ด้วยเหมือนกัน ผมต้องกินต้องใช้นี่ ฤดูร้อนมันก็แล้ง เราก็ต้องการน้ำใจไปจนถึงฤดูฝน ฤดูหนาวพวกเราก็ต้องการผ้าห่ม ความเหน็บหนาว ความโดดเดี่ยวอ้างว้างของชาวนามันเป็นปัญหาใหญ่ของชาวตำบลหนองเต่า

นายกแกลบพร่ำบอกกับผู้เฒ่าผู้แก่ไว้อย่างนั้นนับตั้งแต่ยังไม่ทันได้โหวตเสียงให้เป็นนายกด้วยซ้ำ

 

จากการที่ผมเทียวไปเทียวมาผ่านหน้าบ้านนายกแกลบอยู่หลายๆ ปี ผมก็ได้เห็นอะไรหลายต่อหลายอย่างที่ได้เปลี่ยนแปลงไปของบ้านท่าน นับตั้งแต่ท่านนายกยังไม่เป็นนายก ยังเป็นทิดแกลบอยู่โน่นแหละครับ บางอย่างมันก็เป็นเรื่องปกติเหมือนชาวนาชาวบ้านตำบลหนองเต่าทั่วไปใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนั้น แต่บางอย่างสำหรับความคิดผมแล้วมันก็เกินความคาดหมาย บางอย่างฝรั่งเขาก็เรียกว่าโอเวอร์แอ๊ก หรือถ้าหากจะแปลเป็นภาษาอีสานบ้านผม แม่ใหญ่สีพ่อใหญ่เสาร์สองเฒ่านี้เว้ากันว่า “เป็นตางึดอีหลี” ซึ่งผมแปลออกมาเป็นฉบับครูบ้านนอกคนหนึ่งอย่างผมว่า “มันมากไป”

จากที่เคยเป็นสีขาวบ้านของนายกแกลบก็กลับกลายมาเป็นสีเขียวอ่อน สีเขียวแก่ สีม่วงช้ำ สีฟ้าเย็นตามาเป็นลำดับ สมกับที่ท่านได้เป็นนายก บันไดบ้านของท่านนายกแกลบรอการมาเยือนของลูกบ้านไม่ได้ขาดในแต่ละวัน มันกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว แต่ทุกวันนี้นายกแกลบไม่ได้ขายหวยใต้ดินเหมือนเช่นในอดีตนับตั้งแต่วันที่แกเห็นแต้มโหวตเสียงปรากฏบนกระดานดำในวันเปิดหีบนับคะแนนบัตรเลือกตั้ง ทุกวันนี้ผมไม่ได้ซื้อหวยกับท่าน แต่ผมวิ่งมอเตอร์ไซค์คันเก่าของผมไปซื้อกับนังวิไลน้อยลูกสาวของท่านที่ร้านมือถือในตัวอำเภอทุกงวด นี่ก็ใกล้งวดนายกแกลบจะหมดวาระนายกแล้ว ท่านก็มักคุยสำทับกับผมกับใครต่อใครอยู่เสมอว่า อยากให้มันได้เลือกอีกในสองสามวันเร็วๆ นี้ เงินทองไม่ใช่กลัวมันหมด กลัวแต่ไม่ได้ใช้ แกก็ว่าของแกไปอีกอีหรอบหนึ่ง ซึ่งทันทีที่ได้ยินทำให้ผมรู้สึกแหยๆ อยู่ในใจ นี่มันก็มากไปอีกแล้วท่านนายก

ทำไมผมถึงฝันอย่างนั้น มันก็ยังหาสาเหตุไม่พบ ผมเล่าความฝันอันพิสดารของตัวเองให้นังวิไลฟัง เธอก็ได้แต่ยิ้มๆ แล้วพูดจาฉะฉานออกมาเล่าให้ผมฟังว่า “มีความฝันอย่างหนึ่ง หนูจะเล่าให้ฟัง มันก็คล้ายๆ ความฝันของคุณครูนี่แหละค่ะ”

“ฝันว่ายังไงล่ะน้อย” ผมเหลือบสายตาไปเห็นรูปวันรับปริญญาบัตรบนผนังในร้านของเธอ ร้านของเธอตกแต่งปูกระเบื้องสีใสดูดีมิใช่น้อย

“เสี่ยยักษ์” เธอคงหมายถึง ส.จ.ทินกร วัดศิริ เป็นนักการเมืองชื่อดังของจังหวัดบ้านผม บ้านของนายก บ้านของชาวตำบลหนองเต่า เป็น ส.จ.ที่เคยช่วยชุบชีวิตให้กับคนบ้านขี้เหล็กและบ้านอื่นๆ ผู้ตกทุกข์ได้ยาก แล้วเธอก็เล่าต่อ “เสี่ยยักษ์เล่าให้หนูฟังว่า แกฝันว่าได้เดินขึ้นบันได 10 ขั้น จากที่ที่คล้ายสนามหญ้าแห้งๆ สีน้ำตาล แล้วแกก็เดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด มีแต่เทวดานางฟ้าเต็มไปหมด ไอ้ที่แปลกไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ ไม่ใช่สวรรค์ แต่บันไดสิคะ บันไดแต่ละขั้นจะมีตัวเลขเขียนกำกับไว้นับแต่ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 10 ก็แปลกดีเหมือนกันนะคะคุณครู”

“เออ แปลกจริงๆ” ผมเออออห่อหมกไปด้วยความเต็มใจและดีใจ ตัดสินใจพูดโพล่งออกไปว่า “เอ้า 019 ร้อยบาท เอาตัวเดียวแค่นๆ เลยน้อย เออ เอาอีก หนึ่งเก้า เก้าหนึ่ง ตัวละร้อยคูณร้อย แม่นๆ นะน้อยพวกเฮางวดนี้”

ถ้าผมถูกศูนย์หนึ่งเก้าผมจะได้เงินสี่หมื่น ถ้าผมถูกหนึ่งเก้าหรือเก้าหนึ่งทั้งล่างและบนผมจะได้อีกเจ็ดพัน เป็นความฝันหวานของผมอีกงวดหนึ่ง แต่งวดนี้ไม่นึกอยากซื้อล็อตเตอรี่ เพราะทุกวันนี้ผมเบื่อเต็มทีกับคำประกาศของรัฐบาลเกี่ยวกับล็อตเตอรี่ ใบละ 80 บาท ที่หาซื้อที่ไหน มีแต่ใบละร้อย คนขายล็อตเตอรี่ก็บอกว่ามันเป็นเลขชุด ใบละแปดสิบพวกเขาไม่อยากเอามาขาย คนเขาไม่อยากซื้อ ก็ว่าไป แต่ถ้าหากผมคิดอยากซื้อล็อตเตอรี่ขึ้นมาจริงๆ ผมจะนำซื้อเลขท้ายสามตัว 019 สักสิบงวดให้จงได้ ชุดละเท่าไหร่ผมก็จะตัดใจควักเงินเดือนจ่ายให้ดู เพราะในอดีตก่อนที่นายกแกลบจะได้เป็นนายก แกขายหวยได้งวดและหลายแสน ซ้ำยังเคยถูกลอตเตอรี่หลายล้านในบางงวด เหมือนผมได้กลิ่นปลาร้าบองแล้วน้ำลายสอแท้ๆ

ส.จ.ทินกรหรือที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เสี่ยยักษ์ เป็นคนร่างสูงใหญ่ บึกบึน ผมเคยเห็นที่บ้านนายกแกลบอยู่หลายหน เป็นคนกว้างขวางอีกคนหนึ่งในตัวจังหวัด เครือข่ายของแกครอบคลุมไปถึง ส.ส.จนกระทั่งรัฐมนตรีในสภาผู้แทนราษฎร แกเป็น ส.จ.ตลอดกาลในท้องถิ่นนี้ หากใครจะเข้ามาเทียมทัด นั่นเป็นเรื่องอันตรายเข้าให้แล้ว ธุรกิจค้าขายของแกเติบโตไปทุกทั่วหัวระแหง ไม่เว้นแม่กระทั่งต่างจังหวัดถึงระดับภาค

นายกแกลบรู้จักมักจี่ ส.จ.ยักษ์มาตั้งแต่ชาวบ้านเขาเรียกแกว่าทิดแกลบโน่นแหละ ส.จ.ยักษ์เป็นเจ้ามือใหญ่ ขายหวยใต้ดินจนร่ำรวยเป็นเศรษฐี เป็นเจ้ามือที่บริวารเรียกว่าลูกพี่ เป็นผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ แต่นายกแกลบก็เรียกลูกพี่ของแกมาแต่ไหนแต่ไรว่า “เสี่ยยักษ์” ไม่เคยเรียก “ลูกพี่” ไม่เคยเรียก “ส.จ.” เลยสักครั้งเดียว ทุกครั้งที่เสี่ยยักษ์ลงพื้นที่หาเสียงเขาจะมานั่งรินเบียร์กับนายกแกลบที่บ้านหนองเต่าแทบไม่ได้ขาด นายกแกลบก็ต้อนรับเสี่ยยักษ์เหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งคลับคล้ายจะเป็นครอบครัวเดียวกัน เหมือนพี่เหมือนน้อง เหมือนพ่อเหมือนแม่ เหมือนครอบครัวที่ต้องช่วยกันทำมาหากิน ก่อสร้างฐานะครอบครัวให้เป็นปึกเป็นแผ่นก็ว่าได้

ลูกสาวของนายกแกลบหรือที่ผมเรียกเธอว่านังวิไลน้อยนั้น เปิดร้านมือถือจนมีเงินเซ้งร้านเรือนล้าน ทำมาค้าขายอยู่หลายปีควบไปกับการเปิดร้านมือถือที่ใหญ่โตขึ้นเหมือนน้ำบ่อทราย มีแต่วันเพิ่มไม่มีวันน้ำงวดแห้ง คงจะชั่วนาตาปี เธอซื้อรถเก๋งด้วยเงินสดสองคัน เธอดาวน์รถปิกอัพรุ่นสี่ประตูคันโก้ด้วยเงินหลายแสน ผ่อนเดือนละหลายหมื่น เป็นรุ่นรถที่มีระดับ เหมือนหิ่งห้อยที่ระยิบระยับในยามกลางคืนที่แสนจะอบอ้าวผ่าวร้อนพอกันกับยามกลางวัน อยู่บนท้องทุ่งขี้เหล็กของพวกผม

และแล้ววันที่ผมคาดหวังไว้ก็มาถึง เมื่อบ้านของท่านนายกแกลบได้รับการทุบและรื้อถอนเพื่อที่จะได้รับการก่อร่างสร้างใหม่ ให้มันไฉไลกว่าเดิม

“จะเสร็จเมื่อไหร่” ผมถามนังวิไลน้อยเพราะคิดว่าเธอเป็นตัวตั้งตัวตีสำหรับการสร้างบ้านหลังใหม่ขึ้นบนผืนดินผืนเก่า

“ออกพรรษาค่ะ” เธอพูดกับผมด้วยความเคารพนับถือในตัวผมอยู่เสมอ

หนึ่งเดือนต่อมา นับแต่กองอิฐ หิน ปูน ทราย นับแต่เทเสาเทคาน บางวันเพื่อนบ้านของนายกแกลบก็มานั่งมานอนกินลมชมวิวอยู่ใต้เพิงหมาแหงนดูช่างก่อสร้างกำลังทำงานอยู่มิได้ขาด และนับวันนับเดือนจะเดินมาดูกันเรื่อยๆ อีกทั้งก็นับแต่จะเงยแหงนสูงขึ้นไปๆ บนท้องฟ้า แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาดูท้องฟ้าที่มีแดดอันแรงกล้าแต่อย่างใดเลย

มันเป็นบ้านทรงฝรั่งสีเทา ผมขอใช้สำนวนฝรั่งว่า สีเทาคลาสสิคก็แล้วกัน แต่กำแพงทาสีกาแฟเข้ม ถ้าเป็นกาแฟที่ดื่มได้มันคงมีรสชาติที่เข้มข้นกลมกล่อมน่าดู

 

ในวันขึ้นบ้านใหม่ของนายกแกลบที่แกไม่ได้แอบบอกใครต่อใครว่ามันเป็นบ้านที่สร้างด้วยเงินนังวิไล ลูกสาวเศรษฐีประจำอำเภอของพ่อแม่พี่น้องชาวตำบลหนองเต่า ภายในเต็นท์อันอบอ้าวของยามเช้าจนสาย พ่อแม่พี่น้องชาวตำบลหนองเต่ามาร่วมงานกันขวักไขว่ แม่ใหญ่สีกับพ่อใหญ่เสาร์ก็สักไม้เท้าลำไผ่มานั่งอยู่ใต้เต็นท์นั้น เสียงผู้คนพูดคุยกันเซ็งแซ่แทบไม่ได้ศัพท์ ผมได้ยินแว่วๆ คำหนึ่งขึ้นมาว่า “พ่อใหญ่นายกแกคงเอาสมัยเดียว”

“โอ้ย กูละเสียดายบักเสาร์” แม่ใหญ่สีนั่งเคี้ยวหมากหยับๆ ขณะเอามือลูบน้ำหมากที่ปากพูดกับพ่อใหญ่เสาร์

“เสียดายอิหยัง” พ่อใหญ่แหงนดูบ้านตึกสามชั้นที่ท่านนายกแกลบหรือนายกอุทัยประกาศกับใครต่อใครว่ามันเป็นเงินนังวิไลผู้เป็นลูกสาว แล้วครางเอ๋ออ๋อ

“เสียดายกูปีนกะไดไปบ่ถึงข้างบนน่ะสิบักเสาร์ แล้วมึงไหวมั้ย” แม่ใหญ่สีเงยหน้าขึ้นด้วยความท้อแท้

“ไม่ไหว ไม่ไหว กว่าจะถึงขั้นสาม” พ่อใหญ่เสาร์คลำสะเอวตัวเองอิดออด

หลายคนที่ลงมาจากตึกสามชั้นบ้านใหม่ของนายกแกลบพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “บันไดสูงหลาย เดินขึ้นจนเมื่อย” •