มุ่งหน้า สู่ตึกหอมเย็น รู้ทั้งรู้ว่า มากด้วย ‘กับดัก’ ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนปม/บทความพิเศษ

บทความพิเศษ

 

มุ่งหน้า สู่ตึกหอมเย็น

รู้ทั้งรู้ว่า มากด้วย ‘กับดัก’

ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนปม

 

ไม่ว่าการมาท้าประลองฝีมือด้วยความเกรี้ยวกราดของอิ้วเล้งเซ็ง ไม่ว่าการเชื้อเชิญให้ไปเยือน ณ หอน้อยของลิ่มซีอิมล้วนอยู่ในความคาดหมายของลี้คิมฮวง

นั่นก็คือ “ท่านไม่ต้องการให้ข้าพเจ้าไปหาลิ่มเซียนยี้”

แม้ลิ่มซีอิมถึงกับร้องขออย่างวิงวอน “ข้าพเจ้ามิว่าท่านจะมีใจต่อนางสถานใด เพียงต้องการให้ท่านรับปากคำขอร้องของข้าพเจ้าเท่านั้น”

กระนั้น ลี้คิมฮวงก็ยังดื่มสุราที่เบื้องหน้าจนเหือดแห้ง

รำพึงเบาๆ ออกมา “ใช่แล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนเสเพลที่ไม่อาจเยียวยารักษา หากไปหานางก็เป็นการทำร้ายต่อนาง

หรือท่านมิทราบ ข้าพเจ้าเป็นคนพอใจทำร้ายผู้อื่นอยู่เสมอ”

“โกวเล้ง” บรรยายตามสำนวน ว. ณ เมืองลุง ออกมาว่า ทันใดนั้น มีมือข้างหนึ่งยื่นออกมากำม่านไข่มุกไว้จนแนบแน่น มือข้างนั้นเรียวอย่างยิ่ง งามอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากกำแน่นเกินไปบนหนังมืออันขาวผ่องราวหยกเนื้อดีปรากฏเส้นเลือดสีเขียวอ่อนๆ ขึ้นมา

ม่านไข่มุกขาดไปแล้ว ไข่มุกร่วงกระจายเกลื่อน คล้ายดั่งเป็นเสียงพิณระรัว

 

คนระดับลี้คิมฮวงทำไมจะไม่รู้ว่า ภายใต้คำเชิญชวนและนัดหมายของลิ่มซีอิมคือกับดักอันยอกย้อนและซ่อนเงื่อน

ยิ่งย่ำเดินไปในแต่ละพื้นที่ของตึกเมฆเรืองโรจน์ยิ่งแจ้งแก่ใจ

การปรากฏขึ้นของคูต๊ก ศิษย์แต่เพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นทายาทอีเข่า การปรากฏขึ้นของอิ้วเล้งเซ็ง ทายาทมือกระบี่อันดับหนึ่งของแผ่นดิน

เมื่อย้อนไปยัง “แชม้อชิ่ว” เมื่อย้อนไปยัง “ฮื้อตึ่งเกี่ยม” ก็แจ่มชัด

ก็ทั้งคูต๊กล้วนมาจากเรือนที่ลิ่มซีอิมพำนักอยู่มิใช่หรือก่อนถึงดงเหมย ก็ทั้งอิ้วเล้งเซ็งล้วนมาจากเรือนที่ลิ่มซีอิมพำนักอยู่มิใช่หรือก่อนถึงดงเหมย

หากคูต๊กไม่ตายเพราะ “มีดบิน” ก็คงกระทำอย่างที่อิ้วเล้งเซ็งกระทำ

ยิ่งเมื่อได้รับฟังความสัมพันธ์อันลิ่มซีอิมกับลิ่มเซียนยี้มีต่อกันจากปากอันซื่อใสของลิ่มซีอิมที่ว่า

“นางเป็นดรุณีที่น่าเวทนายิ่ง ชาติกำเนิดอาภัพยิ่ง หากท่านได้พบกับบิดานางท่านก็จะทราบว่านางเป็นคนโชคร้ายเพียงใด มีปีหนึ่ง ข้าพเจ้าไปแก้บนที่ ‘เซี่ยซิ่งไง้’ (ผาสละสังขาร) เห็นนางกำลังจะกระโดดผาตายข้าพเจ้าจึงช่วยนางไว้

ท่านทราบหรือไม่ นางเหตุใดจึงยอมตายด้วยการกระโดดหน้าผา นางกระโดดเพราะโรคของบิดานาง”

ถามว่าหากท่านเป็นลี้คิมฮวงท่านจะได้ “บทสรุป” ต่อเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร

 

มาถึง ณ บัดนี้ ไม่ว่าเรื่องการเดินทางออกนอกด่าน ไม่ว่าเรื่องการถูกซุ่มทำร้ายสะบักสะบอม ไม่ว่าเรื่องการเข้ามาช่วยอย่างทันกับสถานการณ์ของเล้งโซ่วฮุ้น

ล้วนเป็นเรื่องเหมาะเจาะ แม้จะอยู่เหนือความคาดหมาย

มาถึง ณ บัดนี้ เรื่องของการตามล่าหา “เกราะใยทอง กิมซีกะ” เมื่อประสานเข้ากับการหวนคืนสู่วงพวกนักเลงของ “บ๊วยฮวยเต๋า โจรดอกเหมย”

ล้วนเป็นเรื่องที่เหมาะเจาะ แม้จะอยู่เหนือความคาดหมาย

ยิ่งเมื่อลิ่มเซียนยี้สามารถเรียกความเห็นใจจากลิ่มซีอิมกระทั่งสาบานเป็นเจ้ม่วยกันและกัน และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในตึกเมฆเรืองโรจน์

ยิ่งทำให้ลี้คิมฮวงต้องครุ่นคิดอย่างหนักหน่วงในความเหมาะเจาะ

เพียงแต่ยังไม่สามารถตอบได้เท่านั้นเองว่า ระหว่างเล้งโซ่วฮุ้นกับลิ่มเซียนยี้มีความสัมพันธ์ในการวางแผน “ร่วม” กันลึกซึ้งมากน้อยเพียงใด

เนื่องจากแต่ละถ้อยคำอันมาจากลิ่มซีอิมต่อลิ่มเซียนยี้ที่ว่า

“นางมิเพียงเปรื่องปราดสวยงามเท่านั้น หากแต่ยังมีปณิธานหวังก้าวหน้า นางทราบว่าชาติกำเนิดของนางต่ำเกินไป ดังนั้น มิว่ากระทำเรื่องราวใดต่างมานะพยายามเป็นพิเศษมักกลัวถูกผู้อื่นหยามดูแคลนนาง”

คล้ายกับเป็น “คำเตือน” จากสหายอันเคยเป็น “คนรัก”

 

สระน้ำแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง สะพานน้อยสีแดงทอดขวางอยู่เหนือผิวน้ำ ในฤดูคิมหันต์ ณ ที่นี้จะปรากฏบัวบานสะพรั่งทั่วทั้งสระ ส่งกลิ่นหอมกำซาบซ่าน

แต่ในเวลาขณะนี้ มีแต่ลมหนาวเสียดกระดูก และความอ้างว้างที่ไร้ขอบเขต

เสียงเคาะกระบอกโมงยามดังขึ้น เป็นยามสาม เมื่อมองดูแต่ไกลสามารถเห็นแสงไฟในตึกน้อยหอมเย็น

ลิ่มเซียนยี้ยังรอคอยอยู่หรือไม่

มันตระหนักว่า คืนนี้ลิ่มเซียนยี้นัดหมายมันต้องมีจิตเจตนา มันทราบดีด้วยว่าเมื่อมันรุดไปต้องเกิดเรื่องราวอันน่าตื่นตระหนกและน่าสนใจ

มันยังคงนั่งอยู่ มองแสงโคมเรื่อเหลือง ท่ามกลางหิมะเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ

ทันใด ทางด้านตึกน้อยหอมเย็นคล้ายปรากฏเงาคนถลันวูบ พุ่งปราดไปยังเงามืด ณ เบื้องหน้า

ลี้ชิ้มฮัวลอยตัวขึ้น

ความรวดเร็วของท่าร่างสุดที่จะบรรยาย แต่รอจนเมื่อรุดถึงตึกน้อยหอมเย็น เงาร่างเมื่อครู่ก็สาบสูญ คล้ายถูกความมืดอันไร้ขอบเขตกลืนมลายไป

ลี้ชิ้มฮัวครุ่นคิดอย่างลังเล

 

ในแสงสะท้อนของหิมะลี้คิมฮวงพลันพบเห็นที่บนหลังคาปรากฏรอยเท้าไม่สมบูรณ์อยู่ข้างหนึ่ง แต่เป็นรอยเท้าเพียงข้างเดียวนี่

ลี้คิมฮวงยังไม่มีปัญญาคำนวณทิศทางการพุ่งตัวไปของคนผู้นั้น

มันจึงพลิ้วปราดลงจากหลังคา แลเห็นโคมไฟในหน้าต่างยังคงสว่างไสว จึงงอนิ้วดีดกรอบหน้าต่างแล้วร้องเรียกเบาๆ

“ลิ่มโกวเนี้ย”

ในห้องไม่มีเสียงขานรับ ลี้คิมฮวงเรียกอีก 2 ครั้งก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงขานรับ ต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย แล้วผลักหน้าต่างจึงแลเห็นบนโต๊ะเล็กๆ ภายในห้อง

มีกับแกล้มวางอยู่ บนเตายังอุ่นสุราป้านหนึ่ง

กลิ่นของสุรายังหอมอบอวลทั่วทั้งห้อง กับแกล้มบนโต๊ะถึงกับมีขาสุกรกรอบน้ำผึ้ง ไก่อบขาวราวเนื้อหยก

แต่ลิ่มเซียนยี้กลับมิได้อยู่ในห้อง

 

เมื่อลี้คิมฮวงพุ่งร่างปราดเข้าไปพลันพบเห็นจอกสุรา 5 ใบถูกกดฝังลงไปในพื้นโต๊ะ เพียงมองผาดแรกถึงกับคล้ายเป็นเหมยดอกหนึ่ง

เป็น “บ๊วยฮวยเต๋า” หรือนางตกอยู่ในเงื้อมมือ “โจรดอกเหมย”

ลี้คิมฮวงกดฝ่ามือลงกับพื้นโต๊ะ แผ่พลังภายในออก จอกสุราทั้ง 5 ใบโลดทะลึ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน

จอก 5 ใบยังเป็นปกติราวของใหม่ แต่ที่พื้นโต๊ะกลับมีโพรงขึ้นอีก 5 โพรง

โต๊ะนี้แม้มิใช่โต๊ะหินอ่อน กระนั้น หากคิดจะฝังจอกเคลือบ 5 ใบลงไปในเนื้อไม้กำลังภายในระดับนี้นับเป็นที่แตกตื่นสะท้านขวัญยิ่งแล้ว กระทั่งลี้คิมฮวงเองก็รู้ตัว ว่าตนกระทำเยี่ยงนี้มิได้

หากนี่เป็นการกระทำของโจรดอกเหมย ก็ต้องยอมรับว่าพลังฝีมือของบ๊วยฮวยเต๋าน่าเกรงกลัวสมดังคำร่ำลือ

ลี้คิมฮวงกุมจอกสุรา ที่ฝ่ามือปรากฏเหงื่อซึมออกมาจนชุ่มโชก

 

ขณะเวลานั้นเอง มีเสียงพึ่บดังขึ้นเบาๆ เทียนบนโต๊ะถูกซัดดับไป จากนั้นพลังลมถี่เร็วก็อัดไปทั่วทั้งห้อง

มิทราบ “อาวุธลับ” มากมายเพียงใด สาดซัดเข้ามาจากทั่วทุกทิศทาง

ลี้คิมฮวงหมุนกายหันขวับ 2 มือรับอาวุธลับถึง 17-18 ชิ้น ขณะที่พุ่งร่างขึ้นอาวุธลับซึ่งมิได้ถูกรับจึงเฉียดผ่านใต้รองเท้าไปจนหมดสิ้น

ที่นอกห้องบังเกิดเสียงตวาดดัง “บ๊วยฮวยเต๋าหนีไม่รอดแล้ว จงรีบออกมารับความตาย”

ในความสับสนของเสียงตวาดดังพลันมีผู้หนึ่งตวาดกราดเกรี้ยว คนผู้นี้แม้เปล่งเสียงสั้นๆ แต่ดังกังวานดุจระฆังใหญ่ หลังคำพูดเปล่งออก รอบข้างเงียบวังเวง

ไม่ได้ยินเสียงผู้ใดอีก