ถอดรหัส ‘กนกวรรณ วิลาวัลย์’ รุกป่า ‘ป.ป.ช.’ ฟันสั่นสะเทือนวงการศึกษา / การศึกษา

การศึกษา

 

ถอดรหัส ‘กนกวรรณ วิลาวัลย์’ รุกป่า

‘ป.ป.ช.’ ฟันสั่นสะเทือนวงการศึกษา

 

มีเรื่องให้สะเทือนวังจันทรเกษมอีกรอบ หลังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลนายสุนทร วิลาวัลย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และนางกนกวรรณ วิลาวัลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการศึกษาธิการ (ศธ.) แกนนำพรรคภูมิใจไทย กับพวก กรณีบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในเขต จ.ปราจีนบุรี

โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลเจ้าหน้าที่รัฐจำนวนหลายคนที่เกี่ยวข้องกับการออกโฉนดที่ดิน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ซึ่งอัตราโทษสูงสุดคือ จำคุกตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลนายสุนทรและนางกนกวรรณ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 ฐานสนับสนุนการกระทำความผิด โดยคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดแล้วเพื่อให้พิจารณาส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ

นอกจากนี้ ยังมีมติชี้มูลความผิดนางกนกวรรณ ฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงจากกรณีดังกล่าวด้วย เนื่องจากดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี โดยในส่วนของโทษฝ่าฝืนจริยธรรมนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะส่งศาลฎีกาพิจารณาเพิกถอนออกจากตำแหน่ง

ซึ่งหากศาลฎีกาประทับรับฟ้อง ศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะต้องให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีหรือไม่ ซึ่งจะคล้ายกับคดีของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ…

 

สําหรับการออกโฉนดที่ดินในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่นั้น คดีความหมดอายุในวันจันทร์ที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งการบุกรุกออกโฉนดเกิดขึ้นเมื่อปี 2545 แต่เพิ่งมีการแจ้งความดำเนินคดีและ ป.ป.ช.เพิ่งรับเป็นคดีเมื่อปี 2563

โดย พ.อ.พงษ์เพชร เกษสุภะ หัวหน้าชุดปฏิบัติการ ศปป. ที่ 4 กอ.รมน. ในฐานะชุดจับกุมดำเนินคดีนายสุนทรและนางกนกวรรณ กับพวก กรณีบุกรุกพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ในเขต จ.ปราจีนบุรี ให้สัมภาษณ์ว่า คดีนายสุนทรและนางกนกวรรณต้องแยกเป็น 2 คดี โดยคดีแรกคือคดีการออกเอกสารสิทธิ์โดยมิชอบเกิดขึ้นในปี 2545 ป.ป.ช.รับไปดำเนินการ และไปย้อนดูว่าโฉนดออกปีไหน ปรากฏว่าออกในปี 2545 มีนายสุนทรและนางกนกวรรณนำชี้ และมีเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน เจ้าหน้าป่าไม้ รวม 10 คน ร่วมออกเอกสารสิทธิ์ ซึ่งถือว่ามีความผิดทั้งหมด

คดีที่หมดอายุความในวันที่ 13 มิถุนายน 2565 เป็นเฉพาะในส่วนของนายสุนทร แต่ของนางกนกวรรณจะหมดอายุความในเดือนกรกฎาคม 2565 เพราะเป็นเอกสารสิทธิ์คนละฉบับ

แต่นายสุนทรยังมีคดีบุกรุกป่าอีก 1 คดี ที่เจ้าหน้าที่เข้าไปจับกุมในปี 2560 และ 2563 เช่นเดียวกับนางกนกวรรณก็โดนคดีบุกรุกป่าเช่นเดียวกัน

 

เรื่องทางคดีก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย มาดูฟากการทำงาน แน่นอนว่าในฐานะรัฐมนตรี การถูกกล่าวหาและดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตประพฤติมิชอบ ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงาน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ซึ่งรัฐมนตรีควรเป็นต้นแบบด้านคุณธรรม จริยธรรมที่ดีให้นักเรียน ครู และบุคลากรทางการศึกษาทุกคน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…

ในฐานะเสมา 3 นางกนกวรรณได้รับมอบหมายให้ดูแลสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานลูกเสือแห่งชาติ แม้ช่วงที่ผ่านมา ยังไม่มีผลงานที่โดดเด่นมากนัก แต่ก็มีเรื่องสำคัญที่อยู่ในการดูแล

ทั้งการผลักดันการเพิ่มเงินอุดหนุนรายหัวให้นักเรียนในโรงเรียนเอกชน การจัดทำร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต พ.ศ…. ซึ่งนางกนกวรรณนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานคณะกรรมมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยตัวเอง

หากมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจส่งผลให้การดำเนินการทั้งหมดเป็นอันต้องสะดุดลงอีกรอบ

 

ประเด็นนี้ นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา มองว่า นางกนกวรรณทำงานในส่วนที่รับผิดชอบได้ดี ทั้งการกำกับดูแล กศน. และ สช. จะเห็นบทบาทที่โดดเด่น กรณีพี่เลี้ยงเด็กโรงเรียนสารสาสน์พิทยา ทำร้ายร่างกายเด็ก โดยนางกนกวรรณเข้ามารับหน้าตรวจสอบผู้บริหาร ทำให้เห็นภาพนักการเมืองที่ยืนข้างเด็ก ผู้ปกครอง และประชาชน เรียกว่าเป็นผู้หญิงที่คนใจนักเลงคนหนึ่ง…

“ดังนั้น จึงน่าเสียดาย แต่ก็ต้องยอมรับว่าการถูกคดีบุกรุกป่า ก็ทำให้การดำรงตำแหน่งมัวหมอง และการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ศธ. ต้องรับผิดชอบทางจริยธรรมที่สูงมาก เพราะต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเยาวชน ดังนั้น หากลาออกจะสร้างบรรทัดฐาน เป็นตัวอย่างที่ดี ให้นักการเมือง นักศึกษา ว่าการเป็นรัฐมนตรี เมื่อมีเรื่องมัวหมองสามารถตัดสินใจได้ ไม่ต้องให้ใครกดดัน”

ส่วนงานที่ค้างอยู่และน่าห่วง คือ การผลักดันร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมการเรียนรู้ฯ ซึ่งเชื่อมโยงกับร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ…. แน่นอนว่า หากมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีที่รับผิดชอบ ผู้ที่จะเข้ามารับหน้าที่แทน ควรจะต้องมีความเข้าใจในเนื้องานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะถือเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของความเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะเหลือเวลาอีกไม่มาก แต่ก็เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะตั้งรัฐมนตรีใหม่เข้ามาแทน เพราะเป็นเรื่องทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อเสถียรภาพของรัฐบาล

จากนี้คงต้องจับตาท่าทีของครูโอ๊ะ พรรคภูมิใจไทย และรัฐบาล ‘บิ๊กตู่’ ว่าจะเดินเกมนี้อย่างไร

เพราะ ศธ.ถือเป็นกระทรวงเกรดเอ ที่ยังมีเรื่องและงบประมาณอีกมากมายให้ต้องสะสาง

ขณะเดียวกันครูและบุคลากรทางการศึกษา ยังถือเป็นฐานเสียงสำคัญต่อการเลือกตั้งในอนาคต… •