คำตอบไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน (5) / ท่าอากาศยานต่างความคิด : อนุสรณ์ ติปยานนท์

ท่าอากาศยานต่างความคิด

อนุสรณ์ ติปยานนท์

[email protected]

 

คำตอบไม่ได้อยู่ที่หมู่บ้าน (5)

 

การดำรงตนอยู่ในพื้นที่ที่ไม่คุ้นชิน สิ่งที่ช่วยให้วันเวลาผ่านไปได้อย่างรื่นรมย์คือการมีอารมณ์ขัน อารมณ์ขันนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการไม่ตัดสิน เปิดกว้างและมองสิ่งใดๆ ในอีกมุมมองหนึ่ง

ผมพบว่าผู้คนในพื้นที่นอกเหนือเมืองใหญ่มีทักษะในการมองทุกสิ่งให้เป็นเรื่องขำขัน

ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าความเคร่งเครียดเป็นสิ่งที่ต้องพบเจอทุกเมื่อเชื่อวัน การผลักมันให้กลายเป็นเรื่องที่เราสามารถหัวเราะเยาะใส่มันได้ น่าจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำ

และทุกครั้งที่ผมพบอารมณ์ขันเหล่านี้ ผมจะรู้สึกว่าเสียงหัวเราะคือเครื่องมือหล่อเลี้ยงขนานเอกต่อสังคมที่ถูกทำให้เหลื่อมล้ำจากความเจริญ

กระนั้นการมองโลกอย่างมีอารมณ์ขันแบบทันทีทันใดหรือเฉียบพลันก็ทำให้เราตกอยู่ภายใต้ความงงงันก่อนที่เราจะทันตั้งตัวและคิดถึงมัน

หลายครั้งหลายหนผมจึงกลายเป็นฝ่ายที่ต้องตั้งสติก่อนที่อีกฝ่ายนั้นจะสนทนาต่อเนื่องแบบไร้ความรู้สึกใดๆ

คำว่า “ตลกหน้าตาย” จึงดูจะเป็นคำนิยามที่เหมาะสมยิ่งยวดในกรณีเหล่านี้

 

เหตุการณ์แรกที่นำผมไปสู่การเผชิญหน้ากับโลกอันเต็มไปด้วยอารมณ์ขันรอบเขื่อนลำปาวคือการตามหาช่างไม้มาซ่อมประตูบานเฟี้ยมของบ้านที่ผมพักอยู่

ประตูดังกล่าวนั้นฝืดและผลักไสให้เปิดกว้างได้อย่างยากเย็น ป้าล้ำผู้อยู่ถัดไปแนะนำว่ามีช่างไม้ฝีมือดีที่ชื่อว่า “ช่างแหลม” และมีที่พักอยู่ทางไปเขื่อน

บ่ายวันนั้นผมจึงขี่รถเครื่องไปตามลายแทง หลังสอบถามคนในบริเวณนั้นสองสามครั้งผมก็มาถึงบ้านช่างแหลม

ที่นั่นผมพบอุปกรณ์เครื่องมือช่างกองเรียงรายอยู่หน้าบ้านจนเต็ม

ผู้เป็นช่างนั่งซ่อมแหจับปลาอยู่บนแคร่หน้าบ้าน ผมยกมือไหว้แกแล้วก็บอกแกว่าอยากจะขอให้มาดูประตูบ้านให้หน่อย ช่างแหลมยกนิ้วมือขึ้นนับก่อนจะตอบผมว่าเดือนนี้จนเดือนหน้า คิวงานไม้ของแกเต็มหมด ผมจะรอได้ไหม ตอนนี้แกเองก็ติดงานของโรงพยาบาลสหัสขันธ์อยู่ “ไม่ยากหรอกงานคุณน่ะ ต้นเดือนตุลาคมผมไปทำให้แน่” แกเอ่ย

“เอาแบบนั้นก็ได้” ผมตอบ “อย่างนั้นผมขอเบอร์ช่างด้วย ส่วนเบอร์ผมเดี๋ยวผมโทร.เข้าเครื่องช่างเอง” ช่างแหลมบอกเบอร์ของแกให้ผม

ทว่าวินาทีที่ผมจะกดเบอร์โทรศัพท์จากเครื่องโทรศัพท์ในมือ สัญญาณโทรศัพท์ก็หายไปในเวลานั้นพอดี ผมจำต้องบอกเบอร์ของตนเองให้แกและอดบ่นไม่ได้ด้วยอาการหัวเสีย “แย่นะครับ อยู่นอกเมืองแบบนี้ สัญญาณโทรศัพท์ขึ้นสามจีแต่ใช้ไม่ได้ แบบนี้ขอจีเดียวก็พอ”

“เอ แปลก” ช่างแหลมตอบ “รอบบ้านผมนี่ปกติสัญญาณสี่จีครบเลย ไม่เคยขาด”

“โห ช่างตรงนี้มีสี่จีเลยหรือ ไม่น่าเชื่อ จะถึงเขื่อนล่ะนะ”

“ครับ สี่จีครบเลย ทั้งจีนูน จีซอน จีโป่ม จีหล่อ คุณจะเอาจีอะไรล่ะครับ?”

กว่าผมจะตั้งสติได้ว่าสี่จีของช่างแหลมนั้นหมายถึงแมลงสี่ชนิดทั้ง แมงอีนูน แมงกระชอน จิ้งโกร่งและจิ้งหรีด ช่างแหลมก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับแหของแกเสียแล้ว

 

แต่สำหรับบุคคลที่เป็นผู้สั่งสมอารมณ์ขันจนผมเองต้องระวังตัวกับการปล่อยมุขตลกหน้าตายไม่มีใครเกินเจ้าของร้านชำที่มีศักดิ์เป็นญาติผู้ใหญ่ของพี่ต่อ

การต้องพบปะกับผู้คนจำนวนมากทำให้น้าร้านชำเป็นบุคคลที่มีคลังความขำเหนือกว่าใครในแถบนั้น

ครั้งหนึ่งในตอนเช้าที่ผมเดินไปซื้อกาแฟซองที่ร้านของแก หลังยื่นกาแฟเหล่านั้นให้ผม แกถามผมขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยว่า “คุณรู้ไหมว่าอะไรมีหน้ามากกว่าทศกัณฐ์?”

สมองยามเช้าของผมที่ยังไม่ทำงานส่งผลให้ผมทำได้แต่เพียงส่ายหัวใส่แก แต่ดูเหมือนแกจะไม่ยินยอมการพ่ายแพ้ง่ายๆ แบบนี้ “คิดหน่อยสิคุณ สักคำตอบก็ได้”

ผมยืนขบคิดอยู่ตรงนั้นราวครึ่งนาทีก่อนจะเอ่ยเบาๆ กับแกว่า “ผมยอมแพ้ครับน้า”

“หนังสือพิมพ์ไงคุณ หนังสือพิมพ์มีสามสิบสองหน้ามากกว่าทศกัณฐ์ตั้งยี่สิบสองหน้า เมื่อเช้าผมก็ยืนคิดแบบคุณนี่แหละตอนเจอเด็กมันถามเข้า”

การกลายเป็นผู้รับมุขตลกหน้าตายอย่างไม่ตั้งใจของผมดูจะทำให้น้าร้านชำมีความผ่อนคลายและพึงใจที่จะปล่อยอารมณ์ขันแบบนั้นออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

แทบทุกครั้งที่ผมโผล่ตนเองไปที่ร้านชำจะต้องพบกับสิ่งไม่คาดฝันเสมอ

 

จังหวัดกาฬสินธุ์นั้นเป็นจังหวัดที่มีของดีมากมาย ทั้งปลา ปลาร้า ไปจนถึงข้าวโดยเฉพาะข้าวจากอำเภอเขาวง ไม่ว่าจะเป็นข้าวเหนียว ข้าวเจ้าหอมมะลิ ไปจนถึงข้าวเหนียวดำ ข้าวเหล่านี้ล้วนขึ้นชื่อในรสชาติอันเป็นเอกทั้งสิ้น

บ่ายวันนั้น เมื่อข้าวสารในบ้านหมดสิ้น ผมตรงไปที่ร้านชำประจำอำเภอ ด้านหลังของร้านมีกระสอบข้าวตั้งเรียงรายหลายกระสอบ ผมถามน้าร้านชำว่ามี “ข้าวเขาวงไหมครับ?”

“มี คุณจะเอากี่โล?”

“สองโลก็พอครับ”

น้าร้านชำเดินตรงไปที่กระสอบข้าวกระสอบหนึ่ง ก่อนจะตักข้าวเม็ดสีขาวใส่มือแล้วเอามาให้ผมดู “แบบนี้พอใจไหม?”

“เม็ดข้าวสวยมากเลยครับน้า ตักให้ผมเลย”

น้าร้านชำตักเม็ดข้าวจากกระสอบนั้นใส่ถุงพลาสติกก่อนจะชั่งจนได้น้ำหนักที่ผมต้องการ ผูกปมและยื่นให้ผม ทว่าแทนการคิดเงิน น้าร้านชำเดินวนไปมาในร้านเหมือนหาของบางอย่าง

“ชอล์กไปไหนหนอ” แกเอ่ยดังๆ ราวกับต้องการให้ผมได้ยิน

“ชอล์กอะไรครับน้า?” ผมถาม

“ชอล์กเขียนกระดานน่ะสิ จะให้คุณไปด้วย”

“ทำไมล่ะครับ?”

“ก็คุณได้ข้าวถุงนี้ไป เอาไปวางในครัว หามุมดีๆ นะ แล้วก็เอาชอล์กที่ผมให้วงเอาเลย จะเอาวงเล็ก วงใหญ่ วงกลาง วงเอาตามใจชอบเลย นั่นแหละเขาวงของแท้ ถ้าผมวงให้คุณมันก็ไม่ใช่เขาวงน่ะสิ”

ผมหอบข้าวถุงนั้นกลับมาบ้าน วางลงในครัว แน่นอนผมไม่มีชอล์กติดตัวมาด้วย มีแต่ความระแวดระวังในตนว่าคราหน้าจะต้องเจออะไรบ้างที่นั่น

 

การเล่นมุขอย่างพร่ำเพรื่อได้แสดงถึงการมีอิสระบางอย่างของจิตใจ น้าร้านชำดูจะไม่เคยมีทุกข์โศกให้ผมเห็น

แกสามารถสร้างมุขตลกจากการไปโรงพยาบาลโดยการบอกว่าหมอให้แกรีบไปวัดจนแกตกใจว่าอาการแกไม่ดี ก่อนจะบอกว่าหมอให้ไปวัดความดัน ไม่ได้ให้ไปวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ ไปจนถึงการที่หมอบอกแกว่าต้องรีบตรวจเพราะจะอยู่ไม่นาน ก่อนที่แกจะเล่าว่าหมออำแกเพราะหมอจะไปธุระต่อ

เรื่องราวเหล่านี้เป็นดังความบันเทิงรายวันของผม

หากชาวกรุงมีโรงภาพยนตร์ คลับบาร์ เป็นความสุขแบบไหน

ร้านชำและมุขตลกหน้าตายจากผู้เป็นเจ้าของร้านก็เป็นความสุขของผมแบบนั้น

และยิ่งผมพบว่าแกพร้อมจะเล่นมุขเหล่านั้นในแทบทุกโอกาสมันยิ่งทำให้ทุกเวลาว่างที่ผมมีคือการเดินไปร้านของแก

ในวันนั้นขณะที่ผมนั่งอยู่ที่ร้านของชำ ชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งในชุดกางเกงขาสั้นลายพรางแบบกางเกงทหารได้เดินเข้ามาที่ร้าน

“เหล้าขาวขวดหนึ่งครับพี่”

“เอา 35 หรือ 40” น้าเจ้าของร้านชำถาม

“เอาที่ถูกที่สุด”

“ก หรือ ข” น้าร้านชำเอ่ยชื่อยี่ห้อของเหล้าขาวยอดนิยม

“ก ดีกว่าพี่ ข ไม่เคยกิน”

ชายหนุ่มแปลกหน้ายื่นธนบัตรใบแดงให้หลังรับขวดเหล้าขาวขวดนั้นก่อนจะเดินออกจากร้านไปด้วยอาการเร่งรีบ เขาคงจ้ำกลับไปที่วงเหล้าและนี่ไม่น่าใช่ขวดแรกของวันของเขาแน่ๆ

“จอห์นๆ เอาเงินทอนด้วย” น้าร้านชำวิ่งตามเขาไปพร้อมเสียงเรียก

ชายหนุ่มแปลกหน้าหันหลังกลับมาคว้าเงินทอน กล่าวขอบคุณเจ้าของร้านชำก่อนจะเดินจากไป

“น้าจำลูกค้าทุกคนได้เลยหรือ ยอดจริง”

“เอ้ย ไม่ใช่ ไม่เคยเห็นหน้ามันเลย ไอ้หนุ่มนี่”

“อ้าว ก็น้าเรียกจอห์นๆ”

“คุณเห็นขาเขาไหม ที่อยู่นอกกางเกงขาสั้นนั่น”

“เห็นครับ” ผมตอบ

“นั่นแหละ ทั้งใส่ขาสั้นจนเห็นขา แถมหน้าแปลกๆ อีก พวกขาจรแน่ๆ ผมเรียกจรๆ ต่างหาก ไม่ใช่จอห์น”

ผมยอมใจน้าร้านชำในบัดนั้นเอง