ต้องหารด้วย 10 ถึง 100/เหยี่ยวถลาลม

เหยี่ยวถลาลม

 

ต้องหารด้วย 10 ถึง 100

 

หวังว่าทุกท่านคงเคยได้ยินคำกล่าวเหล่านี้

“เวลานี้เรามีความพร้อมเต็มที่ ขอให้มั่นใจ ไม่จำเป็นต้องปิดจังหวัดเพราะโควิดมันกระจอก ถ้าเข้าใจและมีอาวุธพร้อมสามารถรับมือได้” (5 ธันวาคม 2563)

“วันนี้เลิกพูดได้แล้วนะครับว่าประเทศไทยไม่มีวัคซีนโควิด ประเทศไทยช้า ประเทศไทยไม่สามารถดูแลประชาชนในเรื่องวัคซีนได้ พูดได้คำเดียวครับ วันนี้ประเทศไทยมีวัคซีนโควิดอยู่ในมือมากที่สุดในทวีปเอเชีย” (24 กุมภาพันธ์ 2564)

“เราจะเปิดประเทศภายใน 120 วัน” (16 มิถุนายน 2564)

 

ขําไม่ออก 14 ตุลาคม 2564 เมื่อครบ 120 วันตามคำประกาศนั้นแล้วตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ยังคงอยู่ในระดับกว่า 10,000 รายต่อวัน ทั้งยอดผู้เสียชีวิตก็คงยังอยู่ในระดับราว 100 คนต่อวัน

เปิดก็หายนะ ปิดก็เหมือนฆ่าตัวตาย แค่เพื่อ “กู้หน้า” ที่ไม่เป็นไปตามคำประกาศก็ต้อง “ขอเวลาอีกไม่นาน” แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ด้วยการประกาศอีกครั้งว่า “วันนี้ไทยเป็นประเทศหนึ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตประชาชน…ไทยติด 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก”

สับสนงุนงง “เร็วที่สุด” คืออะไร หมายถึงเวลาที่ใช้ในการจิ้มเข็มลงไปแล้วดึงออกจากแขนผู้รับวัคซีนหรือไม่

ทำความเร็วไปเพื่ออะไร

เมื่อนักการเมืองพูดจะต้องหารด้วย 10 ถึง 100

ไม่มีใครพูดถึงที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เคยประมวลสรุปเอาไว้ว่า ภายหลังจากพบผู้ป่วยรายแรกในประเทศไทย ใช้เวลา 363 วัน ไทยมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 สะสมครบ 10,000 คน และเสียชีวิต 67 คน

ย้ำอีกที นั่นคือตัวเลขสะสมจาก 363 วัน

แต่สถานการณ์ในวันนี้คือ ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่กว่า 10,000 คน/วัน และตายกว่า 100 คน/วัน มากกว่า 3 เดือนแล้ว

ระบาดลุกลามมาถึงขั้นนี้เป็น “ความกระจอกของโรค” หรือความบกพร่องของ “คน”!

เมื่อเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม คุณหมอนิติเวช โรงพยาบาลภูมิพล โพสต์ข้อความว่า จาก 50 เคสที่ตาย “1 ราย” คือคนที่ได้รับวัคซีนซิโนฟาร์มแล้ว 1 เข็ม ส่วน “อีก 49 ราย” คือคนที่ไม่ได้รับวัคซีนเลย

ตั้งคำถามได้หรือไม่ว่า ในเวลา 1 ปี 8 เดือน รัฐบาลภายใต้การนำของ “ประยุทธ์” ทำอะไรที่เป็นผลงานน่าทึ่งในการปกป้องรักษาชีวิตประชาชน

ชวนตะลึงยิ่งไปกว่านั้น ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 “โฆษก ศบค.” นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ยังถึงกับออกมาป่าวประกาศว่า “วัคซีนจะมาช้าหรือเร็วแทบไม่ได้มีผลกับคนไทย เพราะเรามีหน้ากากอนามัยกับมีหน้ากากผ้าเอาไว้ป้องกัน ไม่ต้องเจ็บจากการฉีดวัคซีน”

สะท้อนถึงระดับของ “ปริยัติ” และ “ปฏิบัติ” ในการรับมือกับโควิด-19 ของ “ศบค.” ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็น ผอ.

 

ต่างกับประเทศอื่นที่ตื่นตัวกับการปกป้องชีวิตประชาชนด้วยการจ่ายเงินจองซื้อวัคซีนท่วมจำนวนประชากร

เช่น แคนาดาจองซื้อวัคซีนคิดเป็น 330% ของจำนวนประชากร, สหราชอาณาจักร 302%, นิวซีแลนด์ 246 %, ออสเตรเลีย 230%, สหภาพยุโรป 183%, นอร์เวย์ 183%, สหรัฐอเมริกา 169%,ไอซ์แลนด์ 156%, ฮ่องกง 154% และอิสราเอล 137% ของจำนวนประชากร

ตั้งแต่ปลายเดือนมกราคม 2564 ประเทศที่เร่งฉีดหรือ “ฉีดวัคซีนเร็ว” ติดอันดับ 1-10 ของโลก ได้แก่ 1.อิสราเอล ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไปแล้วเกือบครึ่งประเทศ 2.สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3.เซเชลส์ 4.สหราชอาณาจักร 5.บาห์เรน 6.สหรัฐอเมริกา 7.เซอร์เบีย 8.มอลตา 9.ไอซ์แลนด์ และ 10.เดนมาร์ก

ไม่มีประเทศไทย เพราะรัฐบาลคณะนี้นิ่งนอนใจ ไม่สั่งวัคซีนให้มีมากมายหลากหลายชนิดและมากยี่ห้อเพียงพอกับการรับมือวิกฤต จนการระบาดลุกลามเข้าขั้นวิกฤต จึงแก้ผ้าเอาหน้ารอดด้วยการสั่งซื้อวัคซีนที่คุณภาพไม่ดีพอมาเร่งฉีดให้ประชาชนไปก่อน แต่พอฉีดไปได้พักเดียว วัคซีนนั้นก็ด้อยประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อลงอย่างรวดเร็ว จนเรียกได้ว่า “ไร้น้ำยา”

ทำให้ต้องฉีดเข็ม 3 เพื่อบูสเตอร์บ้าง หรือต้องหาวัคซีนชนิดอื่นยี่ห้ออื่นมา “ฉีดไขว้” ให้บ้าง

 

ล่วงมาถึงวันนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่ก็ยังคงระดับกว่า 10,000 รายต่อวัน

แต่จะมีนักการเมืองคนไหนที่ยินดีน้อมรับความผิดพลาดเล่า ถึงแม้คนจะไม่เชื่อมาตั้งแต่แรกว่าเปิดประเทศได้ภายใน 120 วัน แต่นักการเมืองก็จำเป็นต้องพูดโน้มน้าว

ถ้าทบทวนคำกล่าวทั้งหลายของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบที่ผ่านมาอย่างถ้วนถี่แล้วจะเห็นได้ว่า ผู้พูดไม่รู้ ไม่เข้าใจอย่างเพียงพอ แต่เหิมเกริม ประมาท ทำให้กระบวนการคิด การวางแผน การจัดหาจัดจองวัคซีนเพื่อปกป้องชีวิตประชาชนผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น จนประเทศไทยต้องไปยืนอยู่ท้ายแถวของ “คิวรับวัคซีน” กระทั่งในวันหนึ่ง ทั้งสภาอุตสาหกรรมและสภาหอการค้ารวมตัวกันร้องขอจัดหา “วัคซีน” เพื่อมาใช้กับแรงงาน 9 แสนคนใน 2,000 บริษัท รัฐผู้งมงายก็ยังไม่ส่งเสริม ทำให้สูญเสีย “โอกาส” กลายเป็น “วิกฤต”

แต่แม้ว่าประเทศไทยมีวัคซีนน้อยและได้รับวัคซีนช้ามาก ด้วยความหลงในเดือนเมษายน 2564 รัฐบาลยังกล้าประกาศดีเดย์ตามแผนบันได 4 ขั้น ทั้งๆ ที่ในวันนั้นไทยฉีดวัคซีนไปได้เพียงร้อยละ 0.4 ของจำนวนประชากร (เป้าหมายคือฉีดให้ได้ร้อยละ 70 ของจำนวนประชากร)

บันไดทุกขั้นที่ประกาศจึงผุกร่อนอันตราย ไม่สามารถใช้งานได้จริง กระทั่งขั้น 3 ที่บอกว่า “1 ตุลาคม 2564 จะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้า 5 พื้นที่นำร่องที่เหลือได้ (กระบี่-พังงา-สมุย-เชียงใหม่-พัทยา) โดยไม่ต้องกักตัว” ก็ไม่อาจเป็นไปได้

เมื่อนักการเมืองพูดย่อมต้องฟัง แต่ก็ต้องหารด้วย 10 ถึง 100 เสมอ!?!!