“ดร.นิค” ชี้ 16 วัน วิกฤตโควิด ติดเชื้อไม่ลด-ตายพุ่ง แนะฟังข้อเสนอ”หญิงหน่อย” หลังเจ็บแต่ไม่จบ

รองโฆษกพรรคไทยสร้างไทย ชี้ 16 วัน มหาวิกฤต ติดเชื้อไม่ลด ตายต่อเนื่อง แนะนายกฟังข้อเสนอคุณหญิงสุดารัตน์ หลังล็อคดาวน์ขั้นสูงสุดเจ็บแต่ไม่จบ

วันที่ 27 กรกฎาคม 2564 ดร.สุวดี พันธุ์พานิช รองโฆษกและคณะทำงานด้านสาธารณสุข พรรคไทยสร้างไทย สรุปตัวเลขรายงานจากกรมควบคุมโรคระหว่างวันที่ 12-27 กรกฎาคม 2564 ซึ่งรัฐบาลได้เริ่มต้นมาตรการล็อคดาวน์พื้นที่เสี่ยงตั้งแต่วันที่ 12-19 กรกฎาคม รวม 8 วันแรก ผู้ติดเชื้อรวม 97,664 คน เสียชีวิต 711 คน โดยเพิ่มมาตราการล็อคดาวน์ขั้นสูงสุดตั้งแต่วันที่ 20 – 27กรกฎาคม รวม 8 วันหลัง ติดเชื้อเพิ่ม 111,658 คน เสียชีวิต 842 คน สถิติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า มาตรการที่ออกโดยรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตลดลง

ขณะที่ตัวเลขผู้ตัวเชื้อต่อวันสูงกว่า 10,000 คนต่อเนื่องเป็นวันที่ 11 โดยที่จำนวนเตียงผู้ป่วยขยายเพิ่มได้ไม่ทันท่วงที เนื่องจากไร้แผนการรับมือเหตุการณ์ทั้งที่มีสัญญาณเตือนมาตั้งแต่การระบาดครั้งใหม่กลางเดือนเมษายน ปล่อยให้โรงพยาบาลรัฐ-เอกชน และภาคประชาชนรับมือและช่วยเหลือกันเอง ไร้รัฐบาลเป็นที่พึ่ง แม้นายกรัฐมนตรีที่ work from home สั่งทุบโต๊ะไปเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม โยนคณะทำงานไปคิดกันเองเพื่อไม่ให้เกิดภาพคนตายข้างถนน หรือติดเชื้ออยู่บ้าน ผ่านไป 5 วัน ยังไม่คืบหน้า ประชาชนยังเจ็บล้มตายอยู่ในบ้านและข้างถนน ไม่มีเตียง ไม่มียา และร้องขอการช่วยชีวิต

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ได้เสนอพิมพ์เขียวบันได 3 ขั้น สยบโควิดเพื่อเสนอให้รัฐบาลนำไปใช้ เพื่อแก้ปัญหาวิกฤตโควิด 19 ให้จบสิ้นภายในสิ้นปีนี้ เพราะทนไม่ได้ที่จะให้ประชาชนต้องล้มตายและสูญเสียรายได้จากการทำงานของรัฐบาลที่ไร้จุดหมายแก้รายวันไม่จบสิ้น

ขั้นที่ 1 “ด้านการควบคุมการแพร่ระบาด” ต้องเร่ง “ตรวจหาผู้ติดเชื้อ” และนำผู้ติดเชื้อเข้าระบบให้เร็วที่สุด เลิกระเบียบที่ทำให้กระบวนการตรวจหาเชื้อและการรักษาติดขัด เร่งใช้การแจกจ่าย Rapid Antigen Test เพื่อเร่งนำผู้ติดเชื้อเข้าสู่ระบบ ตัดวงจรการระบาด และใช้ IT ติดตามบุคคลเข้าระบบการดูแลรักษาทันที

ขั้นที่ 2 “ด้านการรักษาผู้ติดเชื้อ” เพื่อลดอัตราการป่วยหนัก การตาย และแก้ปัญหาเตียงไม่พอ โดยนำผู้ติดเชื้อเข้าระบบให้เร็วที่สุด โดยเฉพาะผู้มีอาการน้อย ให้เข้าระบบ Home Isolation และ Community Isolation ให้เพียงพอกับผู้ติดเชื้อ โดยให้แพทย์พิจารณาส่ง “ยาฟาวิพิราเวียร์” ทันที เพื่อลดอาการป่วยหนัก และการเสียชีวิตของประชาชน

ขั้นที่ 3 “ด้านการป้องกัน” โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะทำให้คนไทยสามารถมีชีวิตอยู่กับโรคโควิดได้อย่างปลอดภัย โดยการจัดหาวัคซีน mRNA มาเป็นวัคซีนหลักคู่กับ AZ ให้คนไทยมีสิทธิเลือกวัคซีนที่มีประสิทธิภาพให้ได้เฉลี่ยเดือนละ 15 ล้านโดส หรือฉีดให้ได้วันละ 500,000 โดส ให้คนไทยอย่างน้อย 70% หรือ 50 ล้านคน ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่

หากไร้ซึ่งแผนการดำเนินงานและกำหนดเวลาที่ชัดเจน จะมีผู้สูญเสียชีวิตอีกมาก และจะมีผู้คนล้มตายเพราะขาดรายได้ยังชีพ