ใกล้ถึงจุดล้างบางแล้ว! | ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

สองสัปดาห์แรกของการปิดแคมป์คนงานผ่านไปโดยไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ตัวเลขผู้ตายหลัก 50 ราย และติดเชื้อราว 4,000 กว่าๆ เมื่อเริ่มปิดแคมป์ในวันที่ 26 มิถุนายน ลุกลามเป็นการตายหลัก 100 และติดเชื้อราว 9,000 เศษๆ เมื่อถึงกลางเดือนกรกฎาคม ซึ่งเท่ากับทุกอย่างสูงขึ้นกว่าหนึ่งเท่าตัว

นอกจากคนตายและคนติดเชื้อจะเพิ่มขึ้นสวนทางกับแผนของคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา และ ศบค. การปิดแคมป์ยังทำให้คนงานแห่กลับบ้านจนการระบาดกระจายตัวไปจังหวัดต่างๆ อย่างกว้างขวาง

ผลก็คือ หลายจังหวัดที่ผู้ติดเชื้อเป็นศูนย์กลับพบการติดเชื้อ และหลายจังหวัดถึงขั้นต้องสร้างเตียงสนามขึ้นมาเลย

สองวันหลังการประกาศปิดแคมป์คนงาน ตัวเลขผู้ติดเชื้อในต่างจังหวัดพุ่งพรวดสู่ 2,481 ราย ซึ่งเกือบเท่าผู้ติดเชื้อวันเดียวกันในกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ 2,898 ราย

จากนั้นตัวเลขนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังจากวันที่ 3 กรกฎาคม จนผู้ติดเชื้อต่างจังหวัดเพิ่มจากหลักสองพันเศษๆ สู่เขตสี่พัน

มองในภาพรวม การปิดแคมป์คนงานในเดือนมิถุนายน 2564 ส่งผลให้เชื้อระบาดต่างจังหวัดเหมือนการสั่งปิดธุรกิจต่างๆ ในเดือนมีนาคม 2563 จนอาจเป็นนโยบายที่ตั้งใจให้ต่างจังหวัดรับภาระดูแลผู้ติดเชื้อจาก กทม. เพียงแต่รัฐไม่กล้าพูดตรงๆ หรือรับผิดชอบโดยออกแบบการส่งตัวคนให้เป็นระบบไปเลย

เท่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ โรงพยาบาลต่างจังหวัดหลายแห่งพัฒนาระบบดูแลคนติดเชื้อที่เดินทางจาก กทม.กลับบ้านขึ้นแล้ว ผมพบคนป่วยหลายรายที่อยู่กรุงเทพฯ แล้วหาเตียงไม่ได้จนใช้วิธีเดินทางกลับบ้านโดยบอกหมอตรงๆ เพื่อให้แนะนำว่าต้องทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เชื้อลามระหว่างเดินทาง

ตรงกันข้ามกับคำพูดคุณประยุทธ์ว่าปัญหาทุกอย่างกำลังดีขึ้น ทุกสัญญาณชี้ว่าคุณประยุทธ์บริหารโควิดจนทุกอย่างเลวร้ายลง จำนวนเตียงสนามที่ทยอยเพิ่มขึ้นคือหลักฐานว่าคนป่วยมากจนล้นระบบสาธารณสุข เช่นเดียวกับการระดมนักศึกษาจบใหม่และแพทย์ด้านอื่นๆ มาช่วยปฏิบัติงาน

คุณประยุทธ์ล็อกดาวน์สิบจังหวัดเพื่อหยุดการระบาด ซึ่งแค่ปิดแคมป์คนงานยังไม่พอ

แต่สัปดาห์แรกของการล็อกดาวน์เต็มไปด้วยการตรวจพบคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ ขณะที่จำนวนผู้ป่วยซึ่งติดเชื้อ, หาโรงพยาบาลไม่ได้ ตายคาบ้าน และป่วยอาการหนักในโรงพยาบาลก็เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจนปัจจุบัน

จากการประเมินของหมอที่ไม่ได้เกาะอำนาจรัฐจนมีอิทธิพลใน ศบค. คนไทยมีโอกาสตายวันละร้อยและติดเชื้อครึ่งล้านภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า

นั่นเท่ากับว่าหมอที่เป็นหมอจริงๆ ไม่ใช่หมอแบบ “เวชบริกร” ประเมินว่าตัวเลขคนตายและคนติดเชื้อหลังกรกฎาคมไม่มีแววลดลงเลย

ล็อกดาวน์จะลดการระบาดได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลบริหารสถานการณ์ช่วงล็อกดาวน์อย่างไร เพราะประเทศที่ล็อกดาวน์ลดการระบาดได้ก็มี แต่ประเทศที่ล็อกดาวน์แล้วเชื้อพุ่งไม่หยุดก็มาก ตัวอย่างเช่นมาเลเซียซึ่งล็อกดาวน์ตั้งแต่ 21 พฤษภาคม กลับมีผู้ติดเชื้อห้าหลักที่ 11,079 ในวันที่ 13 กรกฎาคม

ขณะที่ไทยมีคนที่ฉีดวีคซีนครบสองเข็มแล้วแค่ 3.3 ล้าน หรือ 5% ของประชากร มาเลเซียมีคนฉีดวัคซีนครบแล้วถึง 3.68 ล้าน เท่ากับ 11.3% ของประชากร แต่ก็ยังเกิดการระบาดไม่หยุด

โอกาสที่การล็อกดาวน์ของไทยจะทำให้การระบาดของเชื้อหยุดลงทันทีใน 14 วันจึงไม่มีทางเป็นไปได้เลย

กองหนุนรัฐบาลชอบพูดว่าล็อกดาวน์คือแผนการที่ “เจ็บแล้วจบ” เหมือนจีนควบคุมการระบาดโดยปิดเมืองอย่างที่เรียกว่า “อู่ฮั่นโมเดล”

แต่ที่จริงการปิดเมืองไม่ได้ทำให้เชื้อหยุดโดยตัวเอง หากไม่มีการตรวจเชื้อแล้วแยกผู้ติดเชื้อไปกักตัวอย่างกว้างขวาง ซึ่งรัฐบาลไทยไม่เคยทำตั้งแต่ต้นจนปัจจุบัน

ตรงกันข้ามอู่ฮั่นโมเดลที่จีนปิดเมือง, ปูพรมตรวจเพื่อแยกผู้ติดเชื้อจากชุมชน และส่งข้าวปลาอาหารดูแลผู้ถูกกักตัวอย่างดี

รัฐบาลไทยล็อกดาวน์โดยไม่มีการปูพรมตรวจผู้ติดเชื้อ, ดูแลผู้ถูกกักตัวอย่างบัดซบกรณีแคมป์คนงาน และล็อกดาวน์เป็นแค่เคอร์ฟิวที่สร้างความลำบากในชีวิตประชาชนจนๆ

คนไทยทุกคนรู้ว่าจีนล็อกดาวน์โดยห้ามคนทั้งเมืองออกไปไหนเลย ส่วนรัฐบาลไทยล็อกดาวน์โดยห้ามรถเมล์และรถแท็กซี่วิ่งหลังสามทุ่ม รวมทั้งห้ามรถทัวร์วิ่งเข้า-ออกจากกรุงเทพฯ

ล็อกดาวน์แบบนี้จึงเป็นล็อกดาวน์ที่คนมีรถยนต์ส่วนตัวไม่ถูกควบคุม แค่ลำบากนิดหน่อยเวลาเจอด่านเท่านั้นเอง

การล็อกดาวน์แบบรัฐบาลทำให้คนจนและคนไม่มีรถต้องเร่งกลับบ้านก่อนหนึ่งทุ่ม เพราะเดี๋ยวรถหมด ต้องจ่ายค่าแท็กซี่ให้ถึงบ้านก่อนสามทุ่ม ออกนอกกรุงเทพฯ ไม่ได้

ส่วนคนมีรถก็เดินทางเข้าออกกรุงเทพฯ ไปกินข้าวที่หัวหิน, อัมพวา, ชลบุรี, ฉะเชิงเทรา ฯลฯ ตามปกติจนทำให้เชื้อระบาดต่อไป

แม้รัฐบาลจะประกาศว่าคนไปจากพื้นที่เสี่ยงต้องถูกกักตัว 14 วัน แต่ความจริงคือไม่เคยมีคนกรุงเทพฯ ที่ไปหัวหิน, ชะอำ, อัมพวา, ชลบุรี ฯลฯ ถูกกักตัวทั้งที่นั่นและที่นี่หลังการเดินทางแล้วเสร็จ คนรอบตัวผมเองที่ทำแบบนั้นก็มีไม่น้อย ล็อกดาวน์แบบนี้จึงไม่มีผลเลยต่อการหยุดเชื้อจริงๆ

ด้วยวิธีล็อกดาวน์แบบรัฐบาล ชลบุรีและฉะเชิงเทรากลับมามีผู้ติดเชื้อเพิ่มวันละ 3-400 จนเกิดคลัสเตอร์ผู้ติดเชื้อใหม่ตามชุมชนและโรงงานต่างๆ มากขึ้นจนเหลือแค่จะเป็นจังหวัดอันตรายแบบ กทม.หรือไม่เท่านั้นเอง

หัวใจของล็อกดาวน์คราวนี้คือซื้อเวลาให้ระบบสาธารณสุขไม่พินาศกว่าปัจจุบัน เพราะจำนวนคนไม่มีเตียง, คนตายคาบ้าน, โรงพยาบาลปิดวอร์ด, คนท้องที่หาหมอไม่ได้ ฯลฯ คือหลักฐานว่าระบบไม่ทำงานอย่างที่ควรเป็น และสังคมเป็นฝ่ายรับภาระปกป้องระบบจากความล้มเหลวของรัฐบาล

รัฐบาลประกาศว่าล็อกดาวน์รอบนี้เริ่มต้นที่ 14 วัน แต่ความจริงคือระดับการระบาดขนาดนี้ทำให้การล็อกดาวน์ไม่มีทางจบใน 14 วัน ไม่ต้องพูดถึงวิธีล็อกดาวน์ที่คนมีเงินไปไหนได้ตามใจ คุมแต่คนไม่มีรถ รวมทั้งไม่ปูพรมตรวจเชื้อ

ซึ่งเผลอๆ อาจทำให้แม้แต่การซื้อเวลาก็อาจทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป

มาตรการเยียวยาของรัฐที่จ่ายเพิ่มแค่ 2,500 น้อยไปในการบรรเทาความเดือดร้อนของคนที่สายป่านใกล้หมด ไม่ต้องพูดถึงคนที่อาจหมดไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลควรทำจึงได้แก่การเร่งนำเข้าวัคซีนและฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ระยะเวลาในการล็อกดาวน์จะได้สั้นลงจนคนไม่เดือดร้อนหนักเท่าปัจจุบัน

ไม่ต้องเถียงแล้วว่ารัฐบาลประยุทธ์บริหารวัคซีนมีปัญหาอย่างไร

แม้การยกเลิกฉีดซิโนแวคสองเข็มมาเป็นฉีดสลับยี่ห้อจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดี แต่ต้องยอมรับว่าวิธีนี้เกิดจากการไม่มีวัคซีนที่ดีหลายยี่ห้อในระบบ และวัคซีนที่รัฐบาลเอาเงินคนไทยไปอุดหนุนอย่างแอสตร้าเซนเนก้ากำลังสร้างปัญหาขึ้นมา

แอสตร้าฯ จากโรงงานไทยส่งมอบวัคซีนต่ำกว่าที่วางแผนเกือบครึ่ง และถ้าเชื่อที่นักวิชาการบอกว่าแอสตร้าฯ ต้องฉีดห่างกัน 12 สัปดาห์ แปลว่าต้องใช้เวลาสามเดือนกว่าคนฉีดแอสตร้าฯ โดสแรกจะได้โดสที่สอง

เท่ากับคนไทยต้องอยู่กับไวรัสสายพันธุ์เดลต้าโดยป้องกันตัวเองไม่ได้ 100% ราวสามเดือน

เมื่อคำนึงว่าคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแข็มแรกเลย โอกาสที่ไวรัสเดลต้าจะระบาดแรงต่อก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก หรือต่อให้คิดถึงคนราว 10 ล้านที่ฉีดซิโนแวคเป็นเข็มแรกไปแล้ว หมอไทยก็ยอมรับว่าซิโนแวคภูมิตกจนในที่สุดจะป้องกันสายพันธุ์เดลต้าไม่ได้ด้วยเช่นกัน

เท่าที่รัฐบาลระบุ กว่าที่วัคซีนซึ่งป้องกันไวรัสเดลต้าจะมาถึงไทยก็ไตรมาสสี่ กว่าจะได้ฉีดครบสองโดสก็คงปีหน้า นโยบายวัคซีนของคุณประยุทธ์จึงทำให้เราเป็นประเทศที่คนหลายสิบล้านเผชิญไวรัสดุโดยไม่มีอะไรป้องกันตัว หรือไม่ก็มีเสื้อเกราะที่อ่อนเกินไปสำหรับการโจมตีของศัตรู

นโยบายรัฐที่ผิดพลาดทำให้เรามีวัคซีนที่สู้โควิดสายพันธุ์เดลต้าไม่ได้ การระบาดที่เพิ่มขึ้นจะทำให้เราต้องเผชิญมาตรการล็อกดาวน์นานขึ้นไปอีก การเยียวยาที่ต่ำทำให้ความไม่พอใจรัฐบาลรุนแรงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทั้งหมดนี้คือวงจรอุบาทว์ของรัฐไทยที่จะเป็นไปแบบนี้จนถึงสิ้นปี

ไม่เคยมียุคไหนที่คนทั้งประเทศสาปแช่งนายกฯ คนเดียวแบบนี้มาก่อน ความเกลียดชังรัฐบาลกลายเป็น Norm จนทำให้การอวยรัฐบาลกลายเป็นเรื่องน่ารังเกียจ สังคมไทยกำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่การล้างบางระบอบประยุทธ์ระลอกใหญ่แน่ๆ จนรออีกไม่นานก็จะถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ

ย้ำว่าอีกไม่นาน