ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 12 - 18 มีนาคม 2564 |
---|---|
คอลัมน์ | Cool Tech |
ผู้เขียน | จิตต์สุภา ฉิน |
เผยแพร่ |
Cool Tech
จิตต์สุภา ฉิน
@Sue_Ching
Facebook.com/JitsupaChin
ปิดกล้องช่วยโลก (และช่วยเรา)
เมื่อการระบาดของไวรัสทำให้กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ทั่วโลกหยุดกึก
ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็น้อยลงด้วย
เราได้เห็นธรรมชาติหลายอย่างฟื้นฟูกลับขึ้นมาจากการที่มนุษย์หยุดเคลื่อนที่
แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีรอยเท้าทางคาร์บอนอะไรบางอย่างมาแทนที่สิ่งที่หายไป
เราย้ายหลายกิจกรรมที่เคยทำได้แบบออฟไลน์เข้ามาอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องเล่าให้ยืดยาวว่าการทำงานระยะไกลหรือการประชุมออนไลน์ได้กลายมาเป็นนอร์มของการทำงานในยุคนี้ไปแล้วอย่างไรบ้าง เพราะเราก็อยู่กับมันแทบทุกวัน
แต่การที่เราไม่ต้องเดินทางไปนั่งประชุมอยู่ในห้องเดียวกันก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมขึ้นเลย
นักวิจัยจาก Purdue University, Yale University และ Massachusetts Institute of Technology ในสหรัฐอเมริการ่วมกันทำการวิจัยเพื่อศึกษาถึงรอยเท้าทางคาร์บอนที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงล็อกดาวน์และคาดประเมินสิ่งที่กำลังจะมาถึงในปี 2021
โดยดูจากเทรนด์การใช้งานดิจิตอลของคนทั่วโลก
ที่ผ่านมาเราแทบจะไม่ค่อยได้คิดอะไรกับการประชุมออนไลน์สักเท่าไหร่ แค่กดเข้าห้องประชุม เปิดกล้อง เปิดไมค์ ใส่หูฟัง แล้วรอให้มันจบลงเพื่อจะกระโดดไปห้องถัดไป
แต่ผลวิจัยในครั้งนี้ทำให้เรามองการประชุมออนไลน์ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หรืออาจจะเรียกว่าทำให้เราเริ่มมองการประชุมออนไลน์ในแง่ของการส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรกก็อาจจะได้
นักวิจัยคำนวณรอยเท้าทางคาร์บอน น้ำ และพื้นดินโดยเชื่อมโยงเข้ากับการใช้งานดาต้าแต่ละกิกะไบต์บนแต่ละแพลตฟอร์ม ทั้ง YouTube Zoom Facebook Instagram Twitter และ TikTok โดยนำตัวเลขมาจากหลายประเทศ และพบว่าการประชุมแบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ 1 ชั่วโมงแบบเปิดกล้องด้วยจะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 150-1,000 กรัม และใช้น้ำ 2 ถึง 12 ลิตร
หากจะทำให้มองเห็นภาพได้ชัดขึ้นก็คือถ้าอัตราการใช้งานทางดิจิตอลยังคงดำเนินไปแบบนี้จนถึงสิ้นปี 2021 เราจะต้องใช้พื้นที่ป่าราว 71,600 ตารางกิโลเมตรในการจับก๊าซเหล่านั้น ส่วนน้ำที่จำเป็นต้องใช้ในการประมวลผลและส่งผ่านข้อมูลก็จะเป็นปริมาณที่มากพอจะเติมลงไปในสระขนาดโอลิมปิกได้มากถึง 300,000 แห่ง
นอกจากผลกระทบเรื่องสิ่งแวดล้อมแล้ว การประชุมออนไลน์ทุกวันนี้ทำให้เราเกิดอาการที่ให้ชื่อเรียกกันว่า Zoom fatigue หรืออาการอ่อนเพลียที่เกิดจากการเข้าประชุมใน Zoom มากเกินไปด้วย
ถึงจะดูไม่น่าเหน็ดเหนื่อยอะไรเพราะก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางฝ่าการจราจรออกจากบ้านไปไหน
แต่ความเหนื่อยล้าที่ว่าเกิดขึ้นจากการนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ก้นติดอยู่กับเก้าอี้ การต้องมองจ้องตากับคนในห้องประชุมออนไลน์ในระยะใกล้
และอีกอย่างที่อาจจะคาดไม่ถึงก็คือความเหนื่อยจากการต้องชินกับการมองเห็นหน้าตัวเองบนจออยู่เรื่อยๆ เหมือนมีกระจกมาวางไว้ตรงหน้าตลอดเวลา (พนักงานบริษัทที่วางกระจกไว้บนโต๊ะจะรู้ดีว่าการเหลือบไปเห็นเงาตัวเองอยู่บ่อยๆ มันทำให้สมาธิวอกแวกได้แค่ไหน)
ทั้งหมดนี้ก็ทำให้คนทำงานที่ต้องผันไปประชุมออนไลน์แทนเกิดความรู้สึกอ่อนล้า
แล้วเราจะทำอย่างไรกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการประชุมออนไลน์ทั้งต่อสิ่งแวดล้อมและต่อสุขภาพของเราเอง สิ่งที่น่าสนใจก็คือคำตอบสำหรับทั้งสองปัญหานี้เป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือ “เสียง”
แม้ว่าเราจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประชุมออนไลน์ได้ แต่การปรับอะไรบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ อย่างการปิดกล้องตอนเข้าประชุม สามารถช่วยลดรอยเท้าทางคาร์บอนจากกิจกรรมนี้ได้มากถึง 96% หรือยอมไม่สตรีมวิดีโอแบบ HD หรือความคมชัดสูง ก็ช่วยลดผลกระทบได้ถึง 86% แล้ว
การรับมือกับอาการอ่อนล้าจากการ Zoom มากเกินไปก็เช่นเดียวกัน เพียงแค่เราเพิ่มช่วงเวลาพักเบรกที่เราจะฟังเสียงเท่านั้นก็ช่วยได้แล้ว
การพักเบรกนี้ไม่ใช่แค่การปิดกล้องเฉยๆ แต่จะต้องปิดกล้องแล้วย้ายตัวเองออกจากหน้าคอมพ์โดยที่หูก็ยังฟังเสียงจากห้องประชุมไปด้วย
การจะทำแบบนี้ได้อาจจะต้องลงทุนในหูฟังไร้สายคุณภาพดีๆ สักอันเพื่อให้เราเป็นอิสระเดินไปเดินมาภายในห้องได้โดยที่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมอยู่
นี่อาจจะเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้โซเชียลมีเดียใหม่ที่เน้นใช้เสียงอย่าง Clubhouse ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว การเข้าไปร่วมพูดหรือฟังในห้องสนทนาโดยที่เราเปิดลำโพงหรือสวมหูฟังไว้แล้วทำอย่างอื่นไปด้วยได้
ทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของโซเชียลมีเดียได้ในแบบที่ไม่ต้องใช้พลังเพ่งของสายตาอีกต่อไป
ปลดเปลื้องเราออกจากพันธนาการหน้าจอที่เราเสพคอนเทนต์วิดีโอหรือไลฟ์ตลอดปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ฉันเข้าใจดีว่าไม่ใช่ทุกคนจะสามารถปรับแต่งรูปแบบการประชุมออนไลน์ของตัวเองได้ตามที่ใจคิด เพราะก็จะยังต้องเชิญชวนทั้งหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานให้เห็นพ้องต้องกันถึงประโยชน์ของการประชุมออนไลน์แบบปิดกล้อง หรือพักเบรกเพื่อปิดบ้างเป็นระยะๆ
เพราะฉะนั้น ก่อนการนัดประชุมออนไลน์ครั้งต่อไป จะลองแนบบทความชิ้นนี้ไปให้ผู้ร่วมประชุมได้อ่านก่อนก็ได้นะคะ