รายงานพิเศษ / การเมืองนอกสภาร้อน หลังยุบอนาคตใหม่ กับมิชชั่นลับ ‘บิ๊กแดง’ และ ผบ.ทบ.#2 จับตาเก้าอี้สุดท้าย ‘บิ๊กเล็ก’ สะเทือนทัพไทย

รายงานพิเศษ

 

การเมืองนอกสภาร้อน

หลังยุบอนาคตใหม่

กับมิชชั่นลับ ‘บิ๊กแดง’

และ ผบ.ทบ.#2

จับตาเก้าอี้สุดท้าย ‘บิ๊กเล็ก’

สะเทือนทัพไทย

การเมืองในสภาร้อนแรงจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่จะตามมาด้วยการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ทำให้พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐมีความเคลื่อนไหวแย่งชิงเก้าอี้

ส่วนการเมืองนอกสภา จากการยุบพรรคอนาคตใหม่และตัดสิทธิ์ทางการเมืองกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ร้อนกว่า

และร้อนมาถึงกองทัพ…

เมื่อมีการพาดพิงถึงบิ๊กแดง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.

จากเพจ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” ที่ระบุว่า พล.อ.อภิรัชต์ได้ไปพบกับผู้นำพรรค 2 คนเมื่อปลายปีที่แล้ว

แต่การเจรจาไม่เป็นผล และส่งผลให้ พล.อ.อภิรัชต์ขึ้นเวทีบรรยายพิเศษ “แผ่นดินของเรา” เมื่อ 11 ตุลาคม 2562

ในครั้งนั้น พล.อ.อภิรัชต์ถล่ม “ฮ่องเต้ซินโดรม” และนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ แม้จะไม่ได้เอ่ยชื่อ แต่ก็ใช้ภาพ “เงา” ของเขา และถล่มพวกหมิ่นสถาบัน ซ้ายจัดดัดจริต พร้อมลั่น จะไม่ยอมให้แก้รัฐธรรมนูญหมวด 1

ที่เรียกได้ว่าเป็นการเปิดหน้าชนครั้งสำคัญของ พล.อ.อภิรัชต์

แต่เป็นการเตรียมการล่วงหน้ากว่า 1 เดือน ก่อนที่จะขึ้นเวทีนี้

แม้นายสมศักดิ์จะไม่ได้ระบุชื่อผู้นำพรรค 2 คนในเพจ แต่ก็ถูกตีความว่า หมายถึงนายธนาธร และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่

จนทำให้เกิดการตั้งข้อสังเกตว่า ข้อมูลนี้เพิ่งมาถูกเปิดเผยหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ เมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2563

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ต้องยอมรับว่าเรื่องนี้ถูกเก็บลับมาตลอดหลายเดือน ที่คาดว่าคงเป็นสัญญาสุภาพบุรุษ หรือสัญญาลูกผู้ชาย ที่ พล.อ.อภิรัชต์และ 2 ผู้นำพรรค

เพราะในมุมหนึ่ง หากนายธนาธรและนายปิยบุตรพบกับ พล.อ.อภิรัชต์ ก็อาจทำให้ผู้สนับสนุนพรรคอนาคตใหม่หวาดระแวง และไม่มั่นใจในตัวผู้นำ จึงต้องปกปิดไว้

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้านั้น พล.อ.อภิรัชต์เคยมีแนวคิดในการพูดคุยกับคนเห็นต่าง โดยเฉพาะที่เป็นผู้นำความคิด และมีผลต่อเยาวชนและคนรุ่นใหม่ได้

“สักวันหนึ่ง ผมคงได้พูดคุยกับพวกเขา” พล.อ.อภิรัชต์เคยกล่าวไว้เมื่อพูดถึงคนเห็นต่าง

ที่สำคัญ แม้จะถูกพาดพิงในเพจของ อ.สมศักดิ์ แต่ พล.อ.อภิรัชต์ก็ไม่ได้ออกมาปฏิเสธใดๆ

จนทำให้ถูกอนุมานว่า การพบกันของ พล.อ.อภิรัชต์ และนายธนาธร นายปิยบุตร คงจะเคยเกิดขึ้นจริง

 

สไตล์ของ พล.อ.อภิรัชต์ คือการทำงานแบบลับๆ “ว.5” ไปไหนมาไหนกับแค่คนขับรถเท่านั้น และแต่งชุดไปรเวต เดินดุ่มคนเดียว ไปยังที่หมาย และบุคคลเป้าหมาย

หากแต่ที่ทำให้สังคมขบคิดกันก็คือ เนื้อหาในการพูดคุยกัน

ที่มีการคาดกันว่า พล.อ.อภิรัชต์อาจพูดคุยเรื่องแนวทางของพรรค กับเรื่องสถาบัน ด้วยเพราะที่ผ่านมา แกนนำพรรคล้วนถูกกล่าวหาในเรื่องแนวคิดชังชาติ

แต่การเจรจาอาจไม่เป็นผล จึงทำให้ อ.สมศักดื์สรุปว่า อาจเกี่ยวข้องกับการยุบพรรคอนาคตใหม่

ทุกอย่างยังคงเงียบ ไม่มีปฏิกิริยาจาก พล.อ.อภิรัชต์ แม้สื่อจะได้สอบถามไปก็ตาม

แต่ก่อนหน้านั้น พล.อ.อภิรัชต์ได้เคยแชร์ข้อความให้นายทหารที่ใกล้ชิด ได้รำลึกถึงพระราชดำรัส “ในหลวงรัชกาลที่ 9” ในเรื่องการส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ

ก่อนที่ พล.อ.อภิรัชต์จะเก็บตัวเงียบ ลดบทบาท งดการให้สัมภาษณ์อีก ตามสไตล์ที่มักจะออกมาทิ้งระเบิดไว้ แล้วก็เว้นระยะไป

อีกทั้งอาจเป็นเพราะในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พล.อ.อภิรัชต์ไม่อยู่ในประเทศไทย

หลังปฏิบัติการหลั่งน้ำตาขอโทษ เสียใจต่อเหตุโศกนาฏกรรมที่นครราชสีมา และชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จนนำมาซึ่งการประกาศปฏิรูปกองทัพ ล้างบางธุรกิจสีเขียวในค่ายทหาร และเปิด “สายตรง ผบ.ทบ.” ให้กำลังพลโทร.ร้องเรียนผู้บังคับบัญชา กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรม

และปล่อยระเบิด เทียบสุนัขทหาร Zebra ดีกว่าพวกเกรียนคีย์บอร์ด ชังชาติ ที่ชอบโพสต์ความขัดแย้งแตกแยก แต่สุนัขทหารไม่เห่าพร่ำเพรื่อ จนกลายเป็นประเด็น และถูกนำไปอภิปรายในสภา ที่นักการเมืองฝ่ายค้านพาดพิง พล.อ.อภิรัชต์

ทั้งนี้เพราะตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว จนถึงช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.อภิรัชต์เดินทางไปเยือนกองทัพบกสหรัฐอเมริกาตามคำเชิญอย่างเป็นทางการ ที่วอชิงตัน ดี.ซี. และแคลิฟอร์เนีย

โดยนอกจากจะได้พบกับ ผบ.กองกำลังทางบกของสหรัฐแล้ว จะพบหารือกับนาย Ryan McCarthy รมว.ทบวงกองทัพบกสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งมาเยือน ทบ.เมื่อปลายมกราคม 2563 ที่ผ่านมา

รวมทั้งพบหารือกับ Senator Tammy Duckworth เชื้อสายไทย และเดินทางไปเยือน Fort Brag ของทหารรบพิเศษ สหรัฐ

จากนั้น ในระหว่างเดินทางกลับ พล.อ.อภิรัชต์มีภารกิจในฐานะ ผบ.ฉก.ทม.รอ.904 ในการปฏิบัติหน้าที่ในต่างประเทศด้วย ก่อนจะเดินทางกลับไทย

จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์ถูกจับตามองเขม็งในทุกความเคลื่อนไหว เนื่องจากการเป็น ผบ.ทบ.ที่ไม่ธรรมดา เพราะสวมหมวกหลายใบ

ท่ามกลางกระแสข่าวให้จับตามองบทบาทของ พล.อ.อภิรัชต์นับจากนี้ ที่จะลดน้อยลงในทางการเมือง

โดยจะหันมาเร่งเดินหน้าการปฏิรูปกองทัพ ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อให้สำเร็จก่อนที่จะเกษียณในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ท่ามกลางแรงกระเพื่อมในกองทัพบก เพราะบรรดา ผบ.หน่วยต้องเตรียมสอบภาษาอังกฤษ TOEIC ตามนโยบาย ผบ.ทบ. จนทำให้มีเวลาดูแลหน่วยและกำลังพลได้ไม่เต็มที่

แต่คำสั่ง พล.อ.อภิรัชต์ ก็ให้ดูแลกำลังพล ผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างดี ให้เกิดความเป็นธรรม และยังมี “สายตรง ผบ.ทบ.” รับเรื่องร้องเรียนอีกด้วย

รวมทั้งคลื่นใต้น้ำจากการล้างบางธุรกิจสีเขียว ธุรกิจในค่ายทหาร จากการยึดกิจการสวัสดิการของหน่วยที่เคยมีเงินนอกงบประมาณมาดูแลหน่วย ดูแลกำลังพล ก็ต้องส่งเข้าคลังไป

แต่ พล.อ.อภิรัชต์ยังยืนกรานเดินหน้าต่อ เพราะมีกระแสสังคมที่สนับสนุนให้ผ่าตัดกองทัพอยู่ไม่น้อย

ทว่า พล.อ.อภิรัชต์ก็มีมิชชั่นต่างๆ ที่ต้องทำให้สำเร็จ รวมทั้งต้องเดินทางไปต่างประเทศอยู่เนืองๆ

จึงทำให้ พล.อ.อภิรัชต์มอบหมายงานให้บิ๊กเล็ก พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รอง ผบ.ทบ. เพื่อน ตท.20 ให้มาช่วยทำงานแทนในหลายด้าน

ในการเดินสายลงพื้นที่ทุกกองทัพภาคทั่วประเทศ เพื่อทำความเข้าใจกับ ผบ.หน่วย ต่อแนวนโยบายของ พล.อ.อภิรัชต์

ความจริง พล.อ.อภิรัชต์มอบหมายงานให้ พล.อ.ณัฐพลทำงานแทนในหลายเรื่องตั้งแต่ขึ้นมาเป็น ผบ.ทบ.แล้ว

จนทำให้ พล.อ.ณัฐพลได้ฉายาว่า เป็น ผบ.ทบ.เงา หรือแม้แต่เกิดคำพูดที่ว่า ในยุคนี้ เหมือนมี ผบ.ทบ. หมายเลข 2

แต่ พล.อ.ณัฐพลเรียกตัวเองว่าเป็นแม่บ้าน ในการนำนโยบายของ ผบ.ทบ.มาสู่การสั่งการและการปฏิบัติ

ในอีกมุมหนึ่ง พล.อ.อภิรัชต์เห็นในความสามารถของ พล.อ.ณัฐพล ที่เป็นคนเก่งในรุ่น และทำงานมาอย่างต่อเนื่องในยุค คสช. ทั้งในส่วนของ ทบ. และ กอ.รมน.

และเป็นการชดเชยการที่ พล.อ.ณัฐพลไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.

แม้ พล.อ.ณัฐพลจะเกษียณกันยายน 2564 หลัง พล.อ.อภิรัชต์ ที่จะเกษียณกันยายน 2563 นี้ น่าจะได้เป็น ผบ.ทบ. 1 ปี เพราะจ่อเป็นรอง ผบ.ทบ. และครองอัตราจอมพลอาวุโสมา 2 ปีแล้วก็ตาม

เพราะเป็นที่รู้กันว่า พล.อ.ณัฐพลไม่ได้เป็น “ทหารคอแดง” ไม่ได้สังกัด ฉก.ทม.รอ.904 ไม่ได้ผ่านการฝึกหลักสูตรสำคัญต่างๆ

แม้จะเป็นนายทหารสายบุ๋น สายตรงของบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหมก็ตาม

ทั้งนี้ เพราะ พล.อ.อภิรัชต์ได้วางตัวบิ๊กบี้ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผช.ผบ.ทบ. รุ่นน้อง ตท.22 เป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป

แต่ด้วยผลงานทั้งใน ทบ. และในระดับรัฐบาล ที่ พล.อ.ณัฐพลทำงานสนองนโยบาย ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

จึงทำให้เกิดกระแสข่าวสะพัดว่า ในการโยกย้ายใหญ่ปลายปีนี้ พล.อ.ณัฐพลจะไปนั่งในตำแหน่งใด เพราะนั่งเป็นรอง ผบ.ทบ.มา 2 ปีแล้วในยุคที่ พล.อ.อภิรัชต์เป็น ผบ.ทบ. เพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกัน

แต่เมื่อมีการวางตัว พล.อ.ณรงค์พันธ์ รุ่นน้องเตรียมทหาร 22 ไว้เป็น ผบ.ทบ.แล้ว จะให้ พล.อ.ณัฐพลรุ่นพี่นั่งเป็นรอง ผบ.ทบ. อาจจะไม่เหมาะ

จึงเกิดกระแสข่าวว่า จะส่ง พล.อ.ณัฐพลข้ามไปเป็น ผบ.ทหารสูงสุด 1 ปี คั่นก่อนที่บิ๊กแก้ว พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ เสนาธิการทหาร เพราะ พล.อ.เฉลิมพลมีอายุราชการถึงกันยายน 2566

ประมาณว่าให้ พล.อ.เฉลิมพลซึ่งยังมีอายุราชการอีกหลายปีรอไปก่อน 1 ปี เพื่อเปิดทางให้ พล.อ.ณัฐพล ขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุด เพราะนายทหารในทัพไทยมองว่า ผบ.ทหารสูงสุด อาจยังไม่จำเป็นต้องมาจากนายทหารคอแดง

 

แต่ทว่าก็ถือเป็นประเด็นที่อ่อนไหว เพราะต่อไปกองทัพไทยต้องจัดพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนามของทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์และทหารรักษาพระองค์ ในรัชกาลที่ 10 ก็ยิ่งทำให้ ผบ.ทหารสูงสุดทำหน้าที่ดูแลภาพรวม และจำเป็นต้องเป็นนายทหารคอแดง

อีกทั้งก่อนหน้านี้ พล.อ.อภิรัชต์จะสนับสนุน พล.อ.เฉลิมพล ให้ข้ามจาก ทบ. มาเป็นเสนาธิการทหาร ที่ บก.ทัพไทย เพื่อเตรียมตัวขึ้นเป็น ผบ.ทหารสูงสุดต่อจากบิ๊กกบ พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ที่จะเกษียณกันยายนนี้

แต่ทว่า พล.อ.ณัฐพลจะไปอยู่ตรงไหนในการโยกย้ายใหญ่ที่จะถึงนี้

หากพลังไม่มากพอที่จะข้ามไปเสียบเป็น ผบ.ทหารสูงสุดได้ พล.อ.ณัฐพลก็อาจจะต้องย่ำเป็นรอง ผบ.ทบ.ต่อเป็นปีที่ 3 แม้ ผบ.ทบ.คนใหม่จะเป็นรุ่นน้องถึง 2 ปี

หรืออาจจะถูกส่งไปเป็นรองปลัดกลาโหม ที่มี พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ เพื่อนร่วมรุ่น ตท.20 เป็นปลัดกลาโหมอยู่

หรืออาจมีการเปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษากลาโหมรองรับ พล.อ.ณัฐพลก็เป็นได้

เพราะดูเหมือนจะเป็นวิถีกองทัพ ที่ ผบ.ทบ. และ ผบ.ทหารสูงสุด จะต้องเป็นนายทหารคอแดงเท่านั้น

พล.อ.อภิรัชต์จึงยังต้องทำหน้าที่หนักในการจัดระเบียบกองทัพใหม่หมดในทุกด้าน ทั้งทำให้สะอาด โปร่งใสจากเรื่องธุรกิจ มาสู่เรื่องระเบียบวินัย การจัดหน่วยใหม่

โดยมี พล.อ.เฉลิมพล ที่ก็เป็นเพื่อนรัก แม้จะต่างรุ่นเป็น ตท.21 ก็ตาม เป็นกำลังหลักในด้านการทำงาน

และที่สำคัญ จะเป็นนายทหารม้าคอแดงสายบู๊ที่พร้อมขึ้นมาเป็นผู้นำกองทัพสูงสุดในการนำกองทัพฝ่าคลื่นลมทางการเมือง ในการทำหน้าที่ต่อไป

โดยผนึกกับ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ผบ.ทบ.คนต่อไป ที่ดูจะสุขุมและซอฟต์กว่า พล.อ.อภิรัชต์

เพื่อให้กองทัพยังคงความน่าเกรงขามและเป็นหนึ่งเดียว เมื่อ พล.อ.อภิรัชต์ต้องถอยออกมาอยู่วงนอกเมื่อเกษียณ

แม้จะรู้กันดีว่า พล.อ.อภิรัชต์จะไม่ได้หายไปไหนก็ตาม จะยังคงมีบทบาทในการดูแลกองทัพในอีกสถานะหนึ่ง ที่ไม่ใช่การเมืองเท่านั้น