สลายระบบธรรมาภิบาล : “500 บาท” ต่อลมหายใจ! จะขอมีนายกฯ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป ?

สลายระบบธรรมาภิบาล : มนัส สัตยารักษ์

ที่รัฐบาลทำโครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” หรือที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วไปว่า “บัตรคนจน” นั้น จะเป็นโครงการรัฐสวัสดิการ หรือประชานิยม หรือวิเศษนิยมก็ตาม ผมไม่เห็นด้วยมาแต่ต้น

นอกจากกลัวประเทศไทยจะวิกฤตเหมือนอาร์เจนตินา หรือล่มจมเหมือนเวเนซุเอลา และเราต้องเข้าคิวซื้อของใช้จำเป็น หรือต้องซื้อข้าวผัดจานละเป็นหมื่นบาทด้วยสถานการณ์เงินเฟ้อ

ผมยังเห็นว่าการแจกเงินในเดือนธันวาคม 2561 ก่อนวันเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพียง 2 เดือนเศษ เป็นเรื่องผิดปกติหรือเป็นเรื่องวิเศษเกินไป

นอกจากนั้น ผมยังรู้สึกใจหวิวๆ กับยอดเงินที่ใช้แจกเป็นสวัสดิการ 6 ประเภท รวมแล้วเป็นเงินถึง 81,430 ล้านบาท ในขณะที่ประเทศมีหนี้สาธารณะอยู่แล้วถึง 6.6 ล้านล้านบาท

ใจสั่นเพราะเงินจำนวนนี้น่าจะใช้ในส่วนของสาธารณสุขที่เรากำลังมีปัญหามากกว่า

ใจหายเพราะมันเป็นเงินของเรา-ประชาชน ไม่ใช่เงินของ คสช.!

“เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า” เป็นพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2541 หรือ 20 ปีมาแล้ว

เมื่อพิจารณาเทียบกับกรณี “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ในครั้งนี้ก็คือ เมื่อค่าของเงินในบัตรหมดลง ผู้ได้รับแจกก็จะรอให้กระทรวงการคลังโอนเงินเข้าตามระบบอีก

ผู้รับบัตรจะไม่รู้จักทำมาหากินหรือประกอบอาชีพ

คนไทยก็จะเหมือนอดีตเศรษฐีเวเนซุเอลา ประเทศไทยก็จะล่มจมทำนองเดียวกับเวเนซุเอลา

ความผิดพลาดประการที่สอง ก็คือ เรายังไม่มีนิยามคำว่า “คนจน” ที่แน่นอน จึงเห็นได้ว่ามีข่าวผู้จบปริญญาโท-เอก ไปยื่นขอทำบัตรนี้ด้วย ครั้งล่าสุดมีภาพผู้หญิงใส่สร้อยทองถ่ายรูปถือเงิน 500 บาทแพร่ไปในสื่อโซเชียล จึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า “ไม่ใช่คนจน” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจึงสั่งกระทรวงการคลังตรวจสอบ อาจจะเรียกเงินคืนและเอาผิดเจ้าหน้าที่ผู้ออกบัตร

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยการประเมินผลการทำบัตรว่า “ใช้ได้ระดับหนึ่ง อาจไม่ตอบโจทย์ 100 เปอร์เซ็นต์ บางรายครอบครัวรวย แต่เมื่อลงทะเบียนเป็นรายบุคคล เมื่อเป็นการตรวจสอบคุณสมบัติรายบุคคลแล้วจะผ่านคุณสมบัติ เพราะไม่มีรายได้ ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินอะไร…ฯลฯ เรายังไม่ได้สรุปว่าจะใช้เกณฑ์ไหนเป็นตัววัดรายได้ครอบครัว”

นี่ก็หมายความว่าการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้บัตรสวัดิการนั้นยังสับสนอยู่ หรือยังไม่มีข้อยุติ

กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ ยังไม่พร้อมที่จะแจก

แต่ต้องรีบแจกด้วยเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อสวัสดิการ นั่นคือ แจกก่อนปลดล็อกเลือกตั้งและหวังผลในการเลือกตั้ง

โดยส่วนตัวที่ผมประเมินจากภาพและคลิปข่าว เห็นว่า ในจำนวน 14 ล้านคนที่ได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปนี้แม้จะได้ชื่อว่าเป็นคนจนทั้ง 14 ล้านคนก็ตามที แต่ที่จะนับว่า “ยากไร้” ถึงขนาดต้องเข้าคิวแย่งกันถอนเงินในฐานะ “บัตรวิเศษ” นั้นแทบไม่มีเลย ส่วนใหญ่เชื่อว่าเขายึดติดกับวัฒนธรรม “ดีกว่าอยู่เปล่าๆ” ทั้ง 14 ล้านคน พวกเขากลัวเสียเปรียบคนอื่น

เหมือนกับที่ชาวบ้านถูกนักการเมืองซื้อเสียงในอดีตนั่นแหละ มันดูโง่เกินไปที่จะไม่ขาย

ความผิดพลาดสำคัญจนดูน่าสังเวชที่ตามมาอีกจุดหนึ่งก็คือ มีภาพหญิงสูงอายุชูเงิน 500 บาทคู่กับบัตรคนจน มีข้อความบรรยายในภาพว่า

“500 บาท ต่อลมหายใจ!! จะขอมีนายกฯ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ต่อไป”

จากภาพนี้ขยายข้อความคอมเมนต์ด้วยอักษรตัวใหญ่ประณามว่า

“แค่โยนเศษเงินให้นิดหน่อยก็อยากให้อยู่ต่อแล้ว คิดโง่ๆ แบบนี้แหละถึงยากจนไปจนตาย คิดกันมั้ยว่านั่นน่ะ…เงินใคร?”

ภาพและข้อความเหล่านี้บอกชัดว่านี่คือการ “ซื้อเสียง” แต่นายกรัฐมนตรี “ทำเนียน” ไม่ได้กำชับให้ กกต.ตรวจสอบ และ กกต.ก็ “ทำเนียน” ไม่ได้ตรวจสอบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เชื่อได้ว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว เรื่องสำคัญนี้จะถูกนำไปสู่การพิจารณาของศาล ผลที่ตามมาหลังจากนั้นยากที่จะคาดเดา

จำได้แต่ว่าในครั้งที่ผ่านมา ผู้ที่รับผิดคือ กกต. ซึ่งติดคุกไปตามความผิด!

สื่อเจ้าหนึ่งขยันและเอาจริงเรื่องการเมือง

เขาสำรวจนับคนถูกดูดหรือคนย้ายพรรคพร้อมแฉรายชื่อ แล้วพบว่า อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยถูกพรรคพลังประชารัฐดูดมากที่สุดถึง 40 คน

ทั้งหมดถูกประณามว่าเปลี่ยนอุดมการณ์ แต่ทั้ง 40 คนที่ว่านี้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่ออย่างไม่แยแสความสัมพันธ์ที่เคยมีต่อกันมาก่อนอย่างยาวนาน ถึงความเลวร้ายของพรรคเดิม ทำให้เข้าใจกันว่า คสช.ประสบความสำเร็จในการ “แยกสลาย” ระบบทักษิณ

ขณะเดียวกันพรรคที่เคยแสดงอาการต่อต้านเผด็จการอย่างเข้มแข็ง แต่มีบางคนในพรรคกลับมีท่าทีอ่อนลง อีกด้านหนึ่งมีท่าทีพร้อมจะผูกมิตรกับพรรคคู่อาฆาตแล้วร่วมมือกันต่อต้านการสืบต่ออำนาจเผด็จการทหาร ทำให้เข้าใจกันว่านี่คือการ “สลายขั้ว”

ปรากฏการณ์เหล่านี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “ได้ใจ” ได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา จะเห็นได้ว่า ที่เคยแสดงอาการเหนียมและเงียบจากกรณีที่บริษัทบริวาร “ออกแบบ” กฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างไม่อายเทวดาฟ้าดิน เพื่อสืบทอดอำนาจอีก 4 ปี

ตามที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ปูพื้นไว้นั้น

มาถึงนาทีนี้เริ่มเปลี่ยนท่าทีเป็นมั่นใจเพิ่มขึ้น จะสังเกตเห็นได้ว่ากล้าออกอาการเกรี้ยวกราดอย่างไม่มีเหตุผลถี่ขึ้น นับตั้งแต่ก้าวเดินส่ายมายังโพเดียมแถลงข่าวทีเดียว มาถึงวันนี้ไม่ได้ต้องการอำนาจเพียง 4 ปีแล้ว ไหนๆ ก็ไหนๆ เพื่อไม่ให้ “เสียของ” เอาให้ครบ 20 ปีตามอายุยุทธศาสตร์ชาติก็แล้วกัน!

ว่าแล้วบริษัทบริวารก็ “ออกแบบ” บัตรเลือกตั้งแนวใหม่ ไม่มีชื่อพรรค ไม่มีชื่อผู้สมัคร มีแต่หมายเลขเพียวๆ ตามด้วยการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ ประกาศแก้ไขกฎหมาย ป.ป.ช. ว่า ผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูงและ ผบ.เหล่าทัพ ฯลฯ ไม่ต้องแสดงบัญชีทรัพย์สิน!

นี่มันยิ่งกว่าแผนสลายพรรคการเมือง หรือสลายขั้วการเมืองเสียอีก

มันเป็นแผน “สลายระบบธรรมาภิบาล” ของชาติเลยทีเดียว