ขอแสดงความนับถือ : โสภณ พรโชคชัย /ฉบับประจำวันที่ 28 ก.ย.- 4 ต.ค. 2561

ขอแสดงความนับถือ

มีควันหลงกรณี “เกาะโต๊ะ” ระหว่าง “ทักษิณ-ประวิตร”

FC ประวิตร ปล่อยภาพ “แม้วเกาะจ๊อด”

ออกมาตอบโต้

นำมาสู่อีเมลฉบับนี้

 

มักมีภาพ ดร.ทักษิณ ชินวัตร กับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ถ่ายรูปคู่กัน

พร้อมคำบรรยายว่า “ถ้าไม่มี พล.อ.สุนทร ก็คงไม่มีวันนี้”

ทำให้ดูเหมือนว่า รสช.ช่วยให้ทักษิณได้ดาวเทียมไทยคม

แต่ความจริงไม่ใช่

และนี่คือกรณีศึกษาเรื่องสัมปทาน

https://i2.wp.com/areaonlineblog.files.wordpress.com/2018/09/459-61.jpg

ความจริงก็คือ ทักษิณชนะการประมูลไทยคมตั้งแต่ 14 ธันวาคม 2533

ก่อนการยึดอำนาจโดยคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.)

และเมื่อ รสช.ทำการสำเร็จก็มีภาพดังกล่าว

จนถึงวันที่ 11 กันยายน 2534 ทักษิณก็ได้ลงนามในสัมปทาน

และลุมาถึง 17 ธันวาคม 2536 ทักษิณก็เชิญสุนทรไปร่วมงานไทยคม 1 ขึ้นสู่วงโคจรพร้อมวาทะข้างต้น

อันที่จริงในวันส่งดาวเทียม ขนาดสุนทรหมดอำนาจแล้ว

ทักษิณก็ยังเชิญมาร่วมงานเพราะไม่แกล้งเขา

ทักษิณเองในขณะนั้นก็ไม่ได้เล่นการเมือง

ไม่ได้ไปช่วย รสช.ยึดอำนาจ

แต่ถ้าขืนไปขวางบิ๊กๆ ก็คงบรรลัย

กรณีนี้ชี้ชัดว่า ทักษิณได้สัมปทานก่อน รสช.มายึดอำนาจ

ทักษิณชนะบริษัทที่ใกล้ชิดบิ๊ก รสช.ด้วยซ้ำไป

แต่การเข้าหา รสช.นั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักธุรกิจรายนี้

เป็นเพียงเพื่อรักษางานประมูลที่เขาชนะการประมูลเท่านั้น

หาไม่อาจถูกรัฐบาลที่ รสช.แต่งตั้งขึ้นโละทิ้งเช่นเดียวกับโครงการลาวาลิน (https://bit.ly/2xtVa5F)

หรือโครงการโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมายของ CP (https://bit.ly/2MR0pkT)

การเปลี่ยนแปลงสัมปทาน แบ่งประโยชน์เกิดขึ้นได้เพราะการหาว่าฝ่ายหนึ่งทุจริต จึงต้องมาสะสางใหม่

ซึ่งเป็นสิ่งที่แล้วแต่อ้างกันไป สัมปทานของรัฐจึงขาดความแน่นอน การขาดความแน่นอนและความโปร่งใส

จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศที่สนใจลงทุนในประเทศไทย ไม่กล้ามาลงทุนเท่าที่ควร

ดูอย่างกรณี “กูมาไกกูมิ” กับทางด่วนขั้นที่สอง (https://bit.ly/2Nq9178) เป็นต้น

ดังนั้น ในการให้สัมปทานใดๆ จึงต้องทำการศึกษาให้ดีเสียก่อน

จะได้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่จำเป็น

ดร.โสภณ พรโชคชัย

[email protected]

 

อาจจะมองอีเมลของ ดร.โสภณ พรโชคชัย “เอียง” ไปทาง “ทักษิณ”

แต่ก็เอียงด้วย “ข้อเท็จจริง”

แน่นอน FC ลุงป้อม ลุงตู่ ก็คงต้องสู้ด้วย “ข้อเท็จจริง” เช่นกัน

เพื่อภาวะสมดุล

กระนั้นแม้เหมือน “แม้ว” ได้เปรียบกรณี “เกาะโต๊ะ”

แต่หากมองผ่านจดหมายของ “ปิยพงศ์” (เมืองหละปูน)

ชะตากรรมของ “แม้ว” ก็ยังระหกระเหินตามเดิม

จน “แม้ว (น้อย) ยัวะ” แทน

“หนอย…ตั้งมากับมือแท้ๆ

กระผ้มจะไปธุระนอกบ้านสักหน่อย

ได้ข่าวหัวหน้ายามที่ตั้งมากับมือนั้น มันจะวัดรอยเท้ากระผ้ม

เลยเรียกมาสอบถาม

มันก็บอกว่า กระผมไม่วัดรอยเท้าท่านหรอก

(แต่)แล้ว มันก็วัด แล้วให้ลิ่วล้อตามจับกระผ้มไปทั่ว

ถัดมาไม่นาน มันก็วัด แล้วให้ลิ่วล้อตามจับกระผ้มไปทั่ว

ถัดมาไม่นาน  มันก็ให้รุ่นน้องของมัน ที่ส่งไม้ต่อให้ วัดเงียบอีกสองหน

หาว่าทำแกงโฮ้ะออกทอระทัด

หาว่าปราบปรามกลุ่มประท้วงผิดกฎหมาย

แล้วตั้งเจ้าหนุ่มหล่อ จ้อเก่ง มาเป็นหุ่นไล่กาแทน

แล้วส่งเจ้าอาหารดี ดนตรีไพเราะ ออกไล่จับกระผ้มไปทั่วโลกอีก

มายุคนี้หนุ่มหล่อ อารมณ์บ่จอย

ที่พูดแล้วพูดอีกว่า จะไม่วัดแน่นอน

เพราะจะทำให้ประเทศชาติเสีย ประชาชนเดือดร้อน

และทั่วโลกเขาไม่ยอมรับ

แล้วหนุ่มหล่ออารมณ์บ่จอย ก็วัดของมันอีก

แถมส่งเจ้า ดอน จมูกบาน ออกตามล่ากระผ้มไม่เลิก

กลุ้ม… จิ๊บเป๋ง

เอ้า อยากจับก็จับเลย เปิดให้จับแย้ว อี่แออี้แอ แอ่แอ…”

รำพึงรำพัน โดยลำพู เอ้ย แม้วน้อยบนดอยสูง

ตากล้อง อีตา “ปิยพงศ์” (เมืองหละปูน) เจ้าเก่า

 

ล่าสุดหนุ่มหล่ออารมณ์บ่จอย ที่นอกจาก “วัด” เท้าแล้ว

ยังโชว์ท่วงท่ารำวง ที่แม้ยังไม่กระแทกเข้ากลางวง

แต่ก็ป้อในท่วงท่า “ใกล้เข้าไปอีกนิด ชิดเข้าไปอีกหน่อย”

พร้อมวาทะ “ผมสนใจการเมือง”

แน่นอน นี่คงนำไปสู่การปะทะระหว่าง “แม้วกับตู่”

ดุเดือดกว่า “แม้วกับป้อม” แน่นอน