เจ้าสัวธนินท์ ส่อง “อนาคต” โลกเปลี่ยน-ธุรกิจเกิดใหม่ ตามไม่ทัน “ซีพี” ก็ยับได้เหมือนกัน

ไม่บ่อยนักที่ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือซีพี จะให้สัมภาษณ์ยาวๆ

ล่าสุดในงาน “10 ปีหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์” และ “พิธีมอบกรรมสิทธิ์บ้านพร้อมที่ดินให้แก่ข้าราชการตำรวจ โครงการหมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์” ที่หมู่บ้านเกษตรสันติราษฎร์ ต.นาวังหิน อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปเป็นประธานมอบโฉนดให้แก่ตำรวจที่ร่วมโครงการ 31 ครอบครัว เจ้าสัวผู้นี้ได้เปิดโอกาสให้ผู้สื่อข่าวซักถามในหลากหลายประเด็น

เริ่มจากคำถามในเรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งนายธนินท์พูดชัดถ้อยชัดคำว่า

“ผมมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ เศรษฐกิจอาเซียน เรามองไกลกว่านี้ เวียดนามชอบสินค้าประเทศไทย เวียดนาม เขมร ลาว แม้กระทั่งมาเลเซีย รวมแล้วในอาเซียนมีประชากร 600 ล้านคน ทั่วโลกยอมรับเศรษฐกิจของอาเซียนที่กำลังเติบโต เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐก็กำลังเติบโต ดังนั้น บ้านเรามีโอกาสจะนำสินค้าไปขายในอเมริกามากขึ้น”

 

“ตอนนี้ นโยบายเศรษฐกิจกับตลาดโลกเราใช้ได้แล้ว ในกรุงเทพฯ คึกคัก แต่ต่างจังหวัด สินค้าเกษตรยังตกต่ำ อันนี้ไม่ใช่ว่าจะแก้ไม่ได้ ผมเชื่อมั่นว่ารัฐบาลยุคนี้ ให้รองนายกฯ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ขึ้นมาดูทั้งเกษตร อุตสาหกรรม พาณิชย์ครบวงจรเอื้อซึ่งกันและกัน ผมมีความหวังมาก เพราะชอบมองโลกในแง่ดี และมองไม่ผิดพลาด”

“ผมว่าเศรษฐกิจไทยโตถึงแน่นอน 4% และจะมากกว่านี้ ถ้านโยบายเกษตรถูกต้อง เกษตรเป็นทรัพย์สมบัติของชาติ ถ้าราคาเกษตรถูกลง ทรัพย์สมบัติก็หดตัว มันยิ่งกว่าน้ำมันอีก แต่คนมองข้าม ถ้าสูงขึ้น คนจะว่า แล้วคนรายได้น้อยจะทำอย่างไร ก็ทรัพย์สมบัติเราสูงขึ้น เราก็เอาทรัพย์สมบัติที่สูงขึ้น ไปขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำ ให้ราชการ และต้องคิดถึงสื่อมวลชนด้วย แต่สื่อมวลชนยุค 4.0 ก็ต้องเปลี่ยน แต่ต้องไปถาม คุณศุภชัย เจียรวนนท์ ผมเก่งเรื่องเกษตรอย่างเดียว”

“ธุรกิจจะเกิดใหม่ในยุค 4.0 ยุคก่อนเด็กอัจฉริยะจะไปทำงานธนาคาร ไปจีอี บริษัทใหญ่ ยุคนี้คนเก่งเขาอยากไปเป็นสตาร์ตอัพ เถ้าแก่น้อย โลกมันเปลี่ยน ฉะนั้น ซีพีก็ต้องเปลี่ยนตามให้ทัน ถ้าไม่ทัน ซีพีก็เปลี่ยนแปลงได้เหมือนกัน ยุบได้เหมือนกัน ดูอย่างโกดัก บริษัทในโลกหลายบริษัทหายไปเลย”

นายธนินท์ยังกล่าวถึงโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ว่า ถ้าเกิดขึ้นจริงจะทำให้เมืองไทยไม่โตแค่ 4 แล้ว เผลอๆ จะโตถึง 7-8% กฎหมายต้องเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ดึงคนเก่งในโลกนี้มาใช้ เพราะในวันนี้บ้านเราสร้างคนไม่ทันแล้ว รัชกาลที่ 5 ใช้อังกฤษมาสร้างทหาร ใช้เยอรมนีมาสร้างกฎหมาย วันนี้เมืองไทยเนื้อหอม

“อีอีซี ถ้าทำให้สำเร็จจะใหญ่กว่าสิงคโปร์อีก เพราะมี 3 จังหวัดอยู่ริมทะเล มีอุตสาหกรรมที่ป๋าเปรมทำไว้ ต่อยอดไปอีก เอาธุรกิจ 4.0 มาใส่ แล้วกฎหมายสำคัญ รัฐบาลต้องกล้าหาญที่จะทำ”

นอกจากวิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจของไทยแล้ว ประธานธนินท์ยังได้คอมเมนต์นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐด้วยว่า “ในส่วนของประธานาธิบดีอเมริกา หลายเรื่องคนไม่ชอบ แต่นโยบายเศรษฐกิจ ผมก็ยกย่อง อย่างเช่น ลดภาษี เพิ่มรายได้ให้บริษัท ลดระดับรายได้บุคคล ฝ่ายค้านอเมริกาคิดว่านโยบายนี้เอื้อให้แก่คนร่ำรวย แต่จริงๆ จำนวนคนร่ำรวยนับได้ไม่กี่คน ซึ่งเขาอาจมีรายได้มากกว่าคนทั่วไปพันเท่า แต่มีกี่คนแล้ว เจ้าของบริษัทใหญ่ในอเมริกา เจ้าของจริงๆ หายไปแล้ว เหลือแต่กองทุน แซมด้วยบริษัททั่วไป แล้วบริษัทเหล่านี้พอได้ประโยชน์ จะเป็นผู้ถือหุ้นรายเล็ก รายย่อย ได้ประโยชน์ พอมีเงินเขาไปจับจ่ายทำการค้าขาย ธุรกิจบริการก็จะเกิด ฉะนั้น เงินอเมริกันจะแข็ง”

เจ้าสัวธนินท์ยังได้ให้คำแนะนำด้วยว่า ตอนนี้เงินบาทแข็งเกินไปแล้ว ส่งของออกไปขายลำบาก ก็ใช้เงินบาทซื้อยูเอส เงินยูเอสแข็งขึ้น เงินบาทอ่อนลง ส่งออกได้ดีขึ้น ซึ่งเงินบาทจะอ่อนลงแน่นอน พอเศรษฐกิจอเมริกาดีขึ้น เงินจะไหลเข้าอเมริกา ค่าเงินจะแข็งขึ้น

“แต่ผมอาจจะผิดก็ได้ ผมใช้ความเห็นและประสบการณ์ของผม ไม่ต้องทำอะไรมาก เอาเงินบาทแข็งกว่าปกติ ไปซื้อยูเอส บาทเราอ่อนลง พอถึงวันที่ยูเอสแข็ง แน่นอนเราซื้อถูกไปขายแพง แล้วกลับมาซื้อบาท”

ในฐานะผู้ผลิตสินค้าเกษตรรายใหญ่ ผู้ก่อตั้งซีพีฉายภาพรวมของการค้าขายสินค้าเกษตรทั่วโลกว่า ประเทศที่ร่ำรวยแล้ว ยิ่งปกป้องราคาสินค้าเกษตร ซีพีไปขายกุ้งถูกที่อเมริกา น่าจะชมเชยว่า ทำให้คนอเมริกันได้กินกุ้งถูก แต่ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ชมเชย ยังกลับขึ้นภาษี ถ้าขายถูกอีก ห้ามเข้า

“ถามว่าเพราะอะไร เขาว่ามาทำลายชาวประมงในประเทศ เขาไม่ได้ห่วงว่าประชาชนจะซื้อแพง เขาห่วงว่า คนเลี้ยงกุ้ง และชาวประมงขาดทุน อยู่ไม่ได้ ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนาห่วงอย่างเดียวว่าคนยากจนซื้อของแพง ต้องกดราคาให้ต่ำ จึงทำให้ทรัพย์สมบัติของชาติถูกลง สินค้าเกษตรงอกจากแผ่นดิน ลองไปศึกษาว่ามีทั่วโลกประเทศที่เจริญแล้วที่ไหนไม่ปกป้องสินค้าเกษตร คนที่จนที่สุดเขายังปกป้องราคาสินค้าเกษตรให้สูง แต่คนไทยไม่เข้าใจ ถ้าสินค้าเกษตรสูงผมเสียเปรียบ แต่กลับคิดว่าผมได้ประโยชน์”

“ถ้าส่วนรวมอยู่ไม่ได้ ถ้าส่วนรวมยากจนผมจะขายสินค้าให้ใคร ถ้าคนยังยากจน ผมผลิตไก่อย่างไรก็ไม่มีคนซื้อ ทุกคนคิดว่าผมพูดอย่างหนึ่งทำอย่างหนึ่ง แต่ถ้าส่วนรวมดีผมดีไปด้วย ผมเสียตรงนี้ ผมซื้อของแพง แต่ผมผลิตแล้วขายแพงได้ เพราะคนมีเงิน ร่ำรวยขึ้น เพราะเกษตรกรเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศไทย ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่มีกำลังซื้อแล้วผมจะขายของให้ใคร ต้องขายให้ต่างประเทศ คนรวยมีไม่มาก ถ้าคนยากจนรวยขึ้น ผมก็ดีขึ้น ผมซื้อของแพง ผมขายได้ กำไรน้อยขายได้มาก ดีกว่าขายไม่ได้”

กับคำถามที่ว่า มีความคิดเห็นอย่างไรในนโยบายแก้ปัญหาคนจนของรัฐบาลชุดนี้ นายธนินท์ตอบว่า “พูดตรงๆ รัฐบาลท่านจิตใจอยากให้คนยากจนรวยขึ้น รู้ไหมคนจนพวกไหนมากที่สุด คือเกษตรกร วันนี้มากขึ้นอีก เพราะยางไม่มีราคา ปาล์มไม่มีราคา เหลือแต่ข้าวโพดมีราคาเพราะโรงงานอาหารสัตว์ต้องซื้อแพง ราคาไม่ต่ำกว่า 8 บาท”

นอกจากนั้น ข้าวก็ถูก ถูกทุกอย่าง เหลือทุเรียน มะพร้าวอ่อน มะพร้าวกะทิ ขายคนจีน แล้วคนฝรั่งมาเที่ยวเมืองไทยมากขึ้น ขนมไทยยังมีโอกาสขายได้ทั่วโลก มะพร้าวอ่อน ทุเรียนของไทยอร่อยมาก ทำไมไม่ส่งเสริมปลูกทุเรียน มะพร้าว อย่างที่นนทบุรี ลูกละพันกว่าบาท ทุเรียนถ้าอร่อยขายในจีน กิโลกรัมละพันสองพัน

ปลูกทุเรียน ปลูกกล้วยหอม กำไรกว่าปลูกข้าวทั้งนั้น ถ้าปลูกข้าว ควรปลูกข้าวหอมมะลิ ปลูกข้าวเหนียวขายไปทั่วโลก ไม่มีใครสู้บ้านเราได้ พื้นที่ไหนปลูกข้าวถูกๆ ก็เปลี่ยนมาปลูกผลไม้ ปลูกมะพร้าว ปลูกกล้วยหอม ทำไมปลูกข้าว น้ำก็ใช้เยอะ

ฟังเจ้าสัวธนินท์แนะนำแบบนี้แล้ว เชื่อว่าเกษตรกรจำนวนไม่น้อยคงจะเลิกปลูกข้าวกันแน่ เพราะยิ่งปลูกยิ่งเป็นหนี้