รายงานพิเศษ : มากกว่าแค่ช่างผมคนดัง ก้อง ไฮฟ์ ซาลอน

ดูจากรูปก็ว่า ก้อง ไฮฟ์ ซาลอน-กฤษฏิ์ จิระเกียรติวัฒนา ดูเด็กแล้ว แต่เมื่อมาเจอตัวจริงกลับพบว่าผู้ชายอายุ 35 ปีคนนี้ ดูอ่อนวัยกว่าในภาพเสียอีก

ในวันสนทนาเรานัดเจอกันที่ไฮฟ์ ซาลอน สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเขาเข้าประจำทุกวันจันทร์และอังคาร วันอื่นที่เหลือจะประจำการที่สาขาหลังสวน ส่วนงานด้านที่ปรึกษาด้านการตลาดให้หลายๆ บริษัท ซึ่งรับเป็นจ๊อบนั้น ก็จัดสรรเวลาที่พอมีไปทำอีกต่างหาก

“งานเยอะฮะ” ก้องรับ

แต่ไม่หวั่น

เพราะ “ผมเป็นมนุษย์ชอบทำงาน”

ดังนั้น ตั้งแต่ร้านเปิดเมื่อ 5 ปีก่อน เขาก็ทำงานทุกวันไม่มีวันหยุด

“365 วัน ทำงานหมด วันที่ไม่ได้เข้าร้าน ไม่ได้แปลว่าหยุดอยู่บ้าน แต่ทำงานนอก ทำโฆษณาบ้าง อีเวนต์บ้าง ทำโน่น ทำนี่บ้าง ไม่ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องการวันพักผ่อนที่จะไปเดินเล่นหรือช้อปปิ้ง”

ท่าทางไม่ชวนให้คิดแบบนั้น-เราว่า

ซึ่งเขาพยักหน้ารับว่า “ใช่”

ก่อนบอกต่อ “ผมไม่ได้เป็นมนุษย์ชอบเที่ยวกลางคืน กินเหล้าอะไรอย่างนั้น”

ท่าทางก็ไม่ใช่อีกละ-เราบอก

คราวนี้ก้องหัวเราะ แล้วตอบรับซ้ำ

จากนั้นจึงเล่าถึงตัวตนว่า เขาเป็น “มนุษย์เข้าวัด ทำบุญ งานเราเจอคนเยอะ ยุ่งมาก พอสักพักหนึ่งจะมีความรู้สึกว่าอยากไปวัด ชีวิตเราเร่งรีบ บีซี่ เพราะฉะนั้น การที่อยู่ดีๆ ได้แว่บไปทำบุญ เข้าวัด มันเหมือนได้พักผ่อนจิต แล้วพอจิตได้พัก ร่างกายเราก็สบายไปด้วย”

ที่ต้องทำงานเยอะ ทั้งๆ ที่ดูจากสถานภาพการเป็นเจ้าของร้านตัดผมดัง 2 ร้าน อีกทั้งครอบครัวก็ยังมีกิจการส่วนตัว ก้องบอกชัด “ทุกคนอาจคิดว่าผมไม่จำเป็น แต่ความคิดผม ผมจำเป็น เพราะตอนนี้ผม 35 คุณพ่อจะ 65 คุณแม่ 61 ในอีก 5 ปี พวกเขาจะ 70 ผมก็ต้องการจะพาเขาเที่ยว จะดูแล จะเทกแคร์ จึงอยากรีบนึดนึง ไม่ใช่จะรีไทร์นะ แต่จะพาพ่อแม่เที่ยว ก็จะทำงานให้น้อยลง”

“คือเขาก็มีตังค์ของเขานะครับ แต่เราไม่ต้องการเอาอัฐยายมาซื้อขนมยาย”

“แล้วเอาจริงๆ นะ การที่เราทำให้ตัวเองยุ่งกับงาน กับการสร้างอนาคต ทำให้เราไม่ฟุ้งซ่าน คือเป็นคนฟุ้งซ่านง่ายไง พอว่างปั๊บ มีหนังเรื่องอะไรว้า ไปเดินช้อปปิ้งที่ไหน เจอใครดี แต่ถ้าเกิดไม่ว่างซะ ก็ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องแบบนี้”

“แล้วทุกวันนี้ผมเลิกงานทุ่มนึง แต่ 5-6 โมงมีคนมานั่งรอที่ร้านแล้ว เลิกงานปุ๊บมีคนพาไปกินข้าว น้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ ไปโน่นนี่ ไปออกกำลังกาย จึงไม่ได้รู้สึกว่าต้องมีวันพักผ่อนเต็มวัน”

แถมอีกสิ่งสำคัญ “ถ้าทำงานเยอะๆ ยุ่งๆ จะไม่นอยด์เรื่องโสด” สารภาพแล้วเขาก็หัวเราะ

แล้วย้ำ “ไม่นอยด์เรื่องความรัก”

“คือจริงๆ ไม่ได้เป็นคนโหยหาเรื่องพวกนี้ เพียงแต่จะมีบางโมเมนต์ที่รู้สึกอยู่บ้าง เพราะงั้นยุ่งซะ จะได้จบไป”

ถามก้องว่า ณ วันนี้เขาถือว่าตัวเองประสบความสำเร็จตามใจอยากแล้วไหม?

“อันนี้เรียนตามตรง ความสำเร็จของร้าน ก้องไม่ได้ดูที่ตัวก้อง” เขาว่า

“ตัวก้องวันนี้อยู่ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ถ้าก้องเข้าร้าน ลูกค้าก้องเต็มอยู่แล้ว ความสำเร็จตอนนี้จึงมองที่ลูกน้อง ช่างที่มาทำงาน พนักงานมีลูกค้าประจำของเขาเยอะแค่ไหน ถ้าลูกน้องสบาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือเห็นลูกน้องออกรถใหม่ เราก็แฮปปี้ คนนี้ไปผ่อนคอนโดฯ ผ่อนบ้าน เราดูแล้วมันมีความสุขกว่าการเห็นตัวเลขในบัญชีตัวเองน่ะ”

เหตุที่เป็นอย่างนั้น เขาว่า อาจเพราะถูกเลี้ยงให้เติบโตมาแบบนี้

“ผมโตมากับการเห็นแม่สวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็นก่อนนอน โตมากับวันเกิดก็เข้าวัด กับการที่ครอบครัวที่สนิทกันมาก ทุกวันกลับบ้านปุ๊บ จะเจอกัน แล้วพูดคุยแลกเปลี่ยน วันนี้ทำอะไรมา ยุ่งไหม อะไรต่างๆ แล้วตอนเด็กพ่อแม่สอน เราเป็นลูกคนโตให้รักน้อง ดูแลน้อง ลูกน้องเราหลายๆ คนอยู่มา 5 ปี สนิทกันมาก รู้แจ้งเห็นจริงกันหมดแล้ว พอเห็นหลายๆ คนพัฒนา มีความเป็นอยู่ดีขึ้น มันเป็นความภูมิใจ”

ขณะเดียวกัน “ก็ดีใจที่เลือกอาชีพนี้ ดีใจที่ตัดสินใจมาทางนี้” ก้องซึ่งเรียนด้านบริหารธุรกิจจากสหรัฐอเมริกาบอก

“จริงๆ อาชีพนี้เป็นอาชีพบริการนะ ลูกค้ามีสิทธิเลือกสิ่งที่เหมาะ สิ่งที่ดีกับตัวเอง แล้วเขาก็เลือกเรา ให้โอกาสเราในการดูแลเขาเรื่องผม”

ย้อนอดีตเล่าด้วยว่าตอนตัดสินใจเปิดร้าน ใจเขานั้นเต็มไปด้วยความกลัว

“กลัวเจ๊ง”

“ทุกคนชอบพูดว่า ก้อง ไฮฟ์ ซาลอน โชคดี สบาย ไม่สบายหรอก คุณเอาอะไรมาบอกว่าสบาย ถ้าผมอยากสบายนะ ผมจบอเมริกามาต่อปริญญาโทลอนดอน กลับมาเทกโอเวอร์บริษัทพ่อ อันนั้นน่ะสบาย อันนั้นน่ะตังค์เห็นแน่ๆ แต่การที่ผมเริ่มอาชีพที่ทั้งตระกูลไม่มีใครมีประสบการณ์ด้านนี้เลย เริ่มตั้งแต่ศูนย์ใหม่ ไม่สบายครับ มันเป็นการเสี่ยงมาก ผมกินไม่ได้นอนไม่หลับเป็นเดือนเลยนะ กว่าจะตัดสินใจเลือกทางนี้ แล้วไม่เรียนต่อปริญญาโท เพียงแต่คนเขาไม่คิดตรงนั้นหรอก”

“ช่วงกลับมาแรกๆ ก็โดนว่า โอ๊ย…สบาย ไฮโซ คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าผมเป็นไฮโซ ผมไม่ใช่”

“คือผมก็ไม่ผิดที่พ่อแม่มีฐานะ ที่สามารถซับพอร์ตให้ผมไปเรียนทำผมที่เมืองนอกได้ ถ้าที่บ้านคุณทำได้ คุณก็ไป ถูกป่ะฮะ ถามว่าคนมีตังค์มาทำอาชีพนี้ มันไม่ได้มีอะไรเหนือไปกว่าคนอื่น ผมเอาตังค์ไปจ้างให้คนมาเป็นลูกค้าผมเหรอ ก็ไม่ใช่”

“สุดท้ายมันก็อยู่ที่การทำงาน ความจริงใจในหน้าที่การงาน แล้วผมก็ทำงานให้ทุกคนเห็นมาตลอด ว่าผมเป็นคนซื่อสัตย์กับอาชีพ เพราะผมรักอาชีพนี้จริงๆ”

“ถ้าผมมาเพราะอาชีพนี้ทำเงินให้ ไม่ได้รักมันจริงๆ ผมอยู่มาไม่ถึงขนาดนี้หรอก มันไม่ใช่งานที่ไม่เหนื่อย มันเป็นงานที่ใช้พลังกายเยอะมาก”

“ผมไม่ได้มาตรงนี้เพื่อที่จะเมกมันนี่จากเขา ผมมาเพื่อจะอยู่กันยาวๆ น่ะ แน่นอน ผมต้องได้รายได้พอจะเลี้ยงร้าน เลี้ยงพนักงานทุกคนได้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องมาฟาด ลูกค้าไม่จำเป็นต้องดัดผม แต่ผมเชียร์ให้ดัด เพราะต้องการจะเอาเงิน ผมไม่ใช่คนแบบนั้น แล้วลูกค้ากลายเป็นชอบ คุณเป็นคนแรกเลยนะที่ห้ามฉันทำโน่นทำนี่ แต่ก็กลายเป็นว่าสิ่งที่คุณแนะนำมันเพียงพอแล้วกับสิ่งที่ฉันต้องการ”

“ลูกค้าบางคนที่เป็นผู้ใหญ่ บอกเดี๋ยวดัดๆ แล้วเติมโคนผม ดัดทำไมล่ะครับ ผมของคุณหนาจะตาย อ๋อ ชินน่ะ เพราะดัดมาเป็น 10 ปีแล้ว งั้นเลิกเถอะ ถ้าคุณยังไม่รู้เลยว่าดัดเพราะอะไร ไม่ต้อง เราก็ค่อยๆ ปรับเขา ผมไม่ได้ใช้คำว่าเพื่อให้เจอทางที่ดีกว่า แต่เพื่อให้เจอผลลัพธ์ที่เป็นสไตล์ผม เป็นชิ้นงานซึ่งเป็นสไตล์เรา ให้เขาลอง”

ดูจากผลตอบรับของลูกค้า คงเดาได้ว่าส่วนใหญ่อยู่ในฝั่งที่ชอบสไตล์เขา อย่างไรก็ดี ก้องบอกตรงๆ ว่า ที่ไม่ชอบก็มี

“ในอาชีพการทำงานที่ทำมาเป็น 10 ปี มันก็มีคนที่มาลองครั้งเดียวแล้วไม่มา ช่างผมในโลกนี้ทุกคนต้องเจอ ไม่ใช่ว่าเราตัดแหว่ง ไม่ใช่ตัดไม่ดี แต่เขาอาจจะไม่ชอบสไตล์เรา อาจจะชอบร้านเก่ามากกว่า ซึ่งไม่ผิดเลย ผมบอกตรงๆ เลยว่าอย่าไปคิดเยอะ แล้วก็มองกว้างๆ”

“และเรียนตามตรงว่า ตั้งแต่ประกอบอาชีพนี้มา ไม่เคยชวนใครมาทำผมแม้แต่คนเดียว ไม่เคยเอ่ยปาก ไม่เคยเชิญ มาทำผมกับฉันสิ ฉันเป็นช่างตัดผม ไม่เคยพูด เป็นเพื่อนกับใครก็ไม่ชวน ผมต้องการคบกับเขาแบบไม่มีอะไรแอบแฝง ไม่ได้คบเพราะจะหาเงิน ไม่ใช่ ถ้าเขาอยากทำ เขาจะเป็นคนเอ่ยปากเอง ผมคบกับคุณชม (ชมพู่ อารยา เอ ฮาร์เก็ต) คบกันเป็นเดือนกว่าคุณชมจะรู้ว่าเป็นช่างทำผม”

ไม่บอก ถ้าเขาไม่ถาม ก้องว่า

“ไม่เคยที่ฉันเป็นช่างทำผมนะ เธอเป็นดารามาทำผมกับฉันซิ ชีวิตนี้ไม่เคยชวนดาราคนไหนมาทำผมเลย”

ส่วนที่มาๆ กันนั้น คนทำประเมินว่า “อาจจะอยากลอง เพื่อนชวน เห็นบนหัวเพื่อน มากกว่า”

“คนในกลุ่มในแก๊งเดียวกัน ที่สนิทกันมากๆ ไม่ได้ทำกับผมก็มี คุณไอซ์ อภิษฎา ก็ไม่ได้ทำ แต่เป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดคนหนึ่ง เขาอยากทำกับใครก็เรื่องของเขา มันก็แค่เปลี่ยนตรรกะวิธีคิดให้มันสบาย ใช้ชีวิตแบบนี้จะได้ไม่เครียดว่า อ้าว, ทำไมเธอไม่ทำผมกับฉัน ไม่ใช่ว่าทุกวันนี้ไม่มีลูกค้า ก็มีอยู่ แต่ถ้าไอ้นี่ก็ต้องทำผมกับฉัน ไอ้นี่ก็ต้องทำกับฉัน คุณทำไหวเหรอ ประเทศไทยมี 60 ล้านคนน่ะ เฉพาะดาราอย่างเดียว ช่อง 3 มีอยู่กี่ร้อย จะทำหมดเหรอ เป็นไปไม่ได้”

เมื่อถามไปว่าสำหรับเขาแล้ว อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตัดสินใจยึดอาชีพนี้ ก้องก็บอกทันที

“มันเป็นอาชีพอย่างหนึ่งในไม่กี่อย่างในโลกนี้ ที่สามารถสร้างรายได้ให้ แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้คนรู้สึกดีกับตัวเอง ทำให้คนสวยขึ้น หล่อขึ้น ทำให้คนมีความสุขกับภาพลักษณ์ของตัวเอง หรือการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า และเมื่อลูกค้ากลับมาบอกว่า ครั้งที่แล้วที่ทำไปสามีชอบมาก มันเป็นความฟินนนนน”

“มันไม่ได้มีอาชีพหลายอาชีพในประเทศนี้ที่มันจะทำอย่างนั้นได้ แล้วมันทำให้เรามีความสุขมาก”

การเป็นช่างผมที่มีเหล่าดารามาตัดเยอะๆ นั้น ก้องบอกว่าในทางหนึ่งก็เป็นข้อดี แต่ในอีกทางก็มีข้อเสีย

“ข้อดีคือคนรู้จักเราเยอะ ข้อเสียคือคนคิดว่าทำแต่เซเลบ ไม่ทำคนธรรมดา แล้วราคาก็แพงมาก แต่ข้อเท็จจริงคือ ถ้าร้านผมเปิดอยู่ 2 สาขา แล้วเปิดมา 5 ปี โดยทำดาราอย่างเดียว เป็นไปไม่ได้ ผมอยู่ไม่ได้หรอก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนปกติธรรมดาทั่วไป ลูกค้าต่างจังหวัดเยอะมาก มาจากบึงกาฬ โคราช ขอนแก่น อุดรฯ เชียงใหม่ ลาว พม่า สิงคโปร์ อินโดนีเซีย ก็มี”

“แล้วลูกค้าทุกคนเดินเข้ามาก็ลูกค้า ทุกคนเท่ากันหมด”

ส่วนค่าตัดผมที่คนเม้าธ์ว่าตัดครั้งละ 2 หมื่น อันที่จริงก็อยู่ที่หลักพัน

ก้องบอกอีกว่าก้าวต่อไปที่เขาคิดไว้ตอนนี้คือ อยากจะมีโรงเรียนสอนทำผม

ซึ่ง “ถ้าวันหนึ่งผมเปิดโรงเรียน ผมจะไม่ได้เปิดเพื่อหาเงินอย่างเดียว จะเปิดเพื่อพัฒนาบุคลากร เพื่อคนที่ไม่มีโอกาสจะไปเรียน การเรียนทำผมเป็นอาชีพที่ค่าเรียนแพงมาก 5 หมื่น 6 หมื่นต่อคอร์ส 2-3 เดือนที่เมืองไทยนะ เพราะฉะนั้น ผมถึงอยากจะทำอะไรให้คนที่อยากจะทำอาชีพนี้ แต่ไม่มีปัจจัย ได้มีโอกาส”

โอกาสของการเป็นช่างทำผมฝีมือดีที่จะได้อยู่ร่วมวงการเดียวกัน