ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 เมษายน - 3 พฤษภาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | เขย่าสนาม |
เผยแพร่ |
อย่างที่คนวงการกีฬาทราบกันดีว่า ในวันที่ 30 มิถุนายน 2561 “บิ๊กเสือ” “สกล วรรณพงษ์” จะเกษียณอายุราชการในตำแหน่ง “ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.)”
หลายคนต่างจับจ้องเรื่องนี้ว่า” “ใคร” จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำค่ายหัวหมากคนใหม่…
บอร์ด กกท. ที่มี “บิ๊กป้อม” “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ เป็นประธาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสรรหาตามขั้นตอนกฎหมาย โดยมี “พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” คนสนิทของพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ เป็นประธานคณะกรรมการสรรหา ส่วนคณะกรรมการอีก 4 คน ประกอบด้วย “พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ, ทวีศักดิ์ วาณิชย์เจริญ, อรรถฤทธิ์ ศฤงคไพบูลย์” และ “อรรถ นานา”
เก้าอี้” “ผู้ว่าการ กกท.” ที่จะคุมวงการกีฬาของเมืองไทยในยุคนี้ สมัยนี้ต่อไปอีก 4 ปีข้างหน้า จะไม่ใช่เก้าอี้ตัวเล็กๆ ธรรมดาๆ อีกแล้ว เพราะนั่นหมายถึงเก้าอี้ตัวนี้จะคุมเงินในวงการกีฬาปีละไม่ต่ำกว่า 6 พันล้านบาท…!!!
นั่นจึงเป็นที่มาหลังจากปิดรับสมัครผู้ที่สนใจชิงตำแหน่ง “ผู้ว่าการ กกท. คนใหม่” มีผู้สมัครมากถึง 9 รายด้วยกัน…
9รายที่มาสมัคร แยกเป็น “คนใน” หรือ “ลูกหม้อ กกท.” เอง 3 คน ได้แก่ “ณัฐวุฒิ เรืองเวส” รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา / “ราเชลล์ ได้ผลธัญญา” รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายส่งเสริมกีฬา / “พ.ท.รุจ แสงอุดม” รองผู้ว่าการ กกท. ฝ่ายกีฬาอาชีพและสิทธิประโยชน์
คนนอก 6 คน ประกอบด้วย “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ และนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังแห่งภาคอีสาน / “ดร.ก้องศักด ยอดมณี” ลูกชาย ดร.สุวิทย์ ยอดมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา / “นิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์” รองอธิบดีกรมพลศึกษา และเลขาธิการสมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ / “ดร.พิสัณห์ นุ่นเกลี้ยง” ที่ปรึกษากระทรวงสาธารณสุข / “สุปราณี คุปตาสา” คณะกรรมการกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ / “อธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ” อดีตนายกสมาคมยิงปืนแห่งประเทศไทย
8 สุภาพบุรุษ กับ 1 สภาพสตรี จะเข้าสู่กระบวนการสรรหาตามขั้นตอนทั้งข้อเขียน การสัมภาษณ์ การแสดงวิสัยทัศน์ บุคลิกภาพ ฯลฯ จนสุดท้ายต้องเหลือผู้สมัครเพียงรายเดียวที่จะมาทำหน้าที่กุมชะตากรรมของวงการกีฬาในห้วงเวลา 4 ปีนับจากนี้
การสรรหาผู้บริหารระดับสูงไม่ว่าจะวงการไหนๆ ในเมืองไทย มันหลีกหนีไม่พ้นเรื่องของการ” “วิ่งเต้น” ผ่านบรรดา” “ขาใหญ่” ทั้งนักการเมือง นักธุรกิจ เฉกเช่นเดียวกับกระบวนการสรรหาในคราวนี้
ว่ากันว่า ก่อนที่จะมายื่นใบสมัครตามขั้นตอนกันนั้น แต่ละคนล้วนแต่นำแบ๊กอัพระดับขาใหญ่ไปแนะนำตัว ไปนั่งโต๊ะกลมทานอาหารกับ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา กันมาครบทั้ง 9 คนเลยด้วยซ้ำ จนถึงขนาดว่า พล.อ.วิชญ์ ถึงขั้นบ่นพึมพำไม่อยากจะรับแขกในช่วงนี้เท่าไหร่นัก
เพราะอะไรนั่นหรือ เพราะทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในยุคนี้ สมัยนี้ หรือจะกี่ยุค กี่สมัย ลำพังความสามารถบวกกับความตั้งใจจริงมันไม่สามารถเอาชนะผู้มากด้วยบารมีระดับ” “ขาใหญ่” ไปได้
เอากันให้ตรงกว่านั้นแบบไม่ต้องอ้อมค้อม งานนี้ใครเป็นที่ถูกอกถูกใจของ “บิ๊กป้อม” “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” จะไปถึงฝั่งฝัน
ส่วนเรื่องความรู้ ประสบการณ์ในวงการกีฬา ความสามารถก็เป็นส่วนประกอบลำดับรองลงมา
ว่ากันตามตรง ดูจาก 9 รายชื่อที่หาญกล้าจะขยับก้นมานั่งเก้าอี้ตัวใหญ่คุมค่ายหัวหมาก ไม่มีระดับ” “บิ๊กเนม” แม้แต่รายเดียว…!
3 ตัวแทนคนใน ล้วนมีข้อดีและข้อด้อยต่างกันออกไป…
“ตูน” “ณัฐวุฒิ เรืองเวส” เป็นคนที่บรรลุหลักสูตรกีฬาเพื่อความเป็นเลิศเพราะทำมาตลอดชีวิต รู้จักเทคนิคไปสู่ความสำเร็จของทัพนักกีฬาไทยไม่ว่าจะเป็นซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์ หรือโอลิมปิกเกมส์ เป็นคนตรงกับข้อบังคับ ไม่ยอมผ่อนปรน แต่ข้อเสียคือ ไม่เอาเรื่องกีฬาอาชีพจนโดนต่อต้านพอสมควร ว่ากันว่าหากเป็นยุคของ “บิ๊กเจี๊ยบ” “พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร” คุมวงการกีฬา รับรองชื่อของ ณัฐวุฒิ เรืองเวส แบเบอร์มาแต่ไกล
แต่เมื่อเปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัยก็ยังไม่สิ้นหวังเพราะยังได้รับแรงสนับสนุนอย่างดีจาก “บิ๊กอ๊อด” “พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา” อดีตประธานคณะกรรมการโอลิมปิคฯ
“พ.ท.รุจ แสงอุดม” ว่ากันว่านี่คือ “เต็ง 1” ในสายตาคนกีฬา แม้ผลงานในวงการกีฬายังไม่สามารถจับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมนัก แต่คนอมภูมิรู้อย่าง รุจ แสงอุดม มีดีอยู่เช่นกันเพราะอยู่กับกีฬามานาน เป็นมือประสาน 10 ทิศ รู้จักโอนเอนตามลม ที่สำคัญเขาเลือกเดินเกมแบบ” “เพลย์เซฟ” ไม่เปิดหน้า ไม่ออกสื่อ สงบปากสงบคำ
แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากพี่ใหญ่วงการกีฬาอย่าง “พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์” รองประธานและเลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ที่รักน้องรักคนนี้ตั้งแต่สมัยเป็นพ่อบ้านสมาคมตะกร้อฯ
นี่ยังไม่รวมแรงสนับสนุนจาก “กิตตน์สมบัติ เอื้อมมงคล” นายกสมาคมเทนนิสฯ ผ่านไปยัง “บิ๊กโจ๊ก” “พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล” ส่งต่อไปยังขาใหญ่ในรัฐบาลอีกทางหนึ่ง
“ราเชลล์ ได้ผลธัญญา” ผู้เติบโตมากับงานฝ่ายคลัง และภูมิภาค ของ กกท. ตลอด 30 กว่าปีที่ผ่านมา แม้จะดูเงียบๆ แต่คนใน กกท. ว่ากันว่าห้ามประมาทเด็ดขาดเพราะเป็นคนที่เดินเกมเยอะที่สุด
ทุ่มเทกับรถไฟขบวนสุดท้ายแบบที่สุด ผ่านขาใหญ่ จ.อ่างทอง เพราะมีความสนิทสนมกับ “กรวีร์ ปริศนานันทกุล” ลูกชายของ “เสี่ยตือ” “สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล” เป็นพิเศษ
ว่ากันว่า 3 คนใน กกท. “ณัฐวุฒิ-รุจ-ราเชลล์” ไม่มีความสามัคคีกันอยู่ด้วย
งานนี้จึงพร้อมฟาดฟันเพื่อแย่งเก้าอี้กันอย่างเต็มกำลังสามารถเพราะทุกคนล้วนแต่เหลืออายุราชการอีก 3 ปีกว่าๆ นี่จึงเป็นรถไฟขบวนสุดท้ายในการจบตำแหน่งสูงสุดของชีวิตข้าราชการอีกด้วย
ว่ากันที่ตัวแทน” “คนนอก” ทั้ง 6 รายกันบ้าง ภาษีดีที่สุดที่คนค่ายหัวหมากพอจะยอมรับได้หากเกิดกรณี” “ข้ามห้วย” ขึ้นมาจริงๆ คือ “เสี่ยโต้ง” “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดศรีสะเกษ นักธุรกิจระดับร้อยล้าน เพราะมีประสบการณ์ในฐานะเคยเป็นบอร์ด กกท. คลุกคลีวงการกีฬาเห็นปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะสมาคมกีฬาจังหวัดมาพอสมควร ที่สำคัญเสี่ยโต้งเลือกเข้าถูกช่องทางมาในแรงสนับสนุนของสายทหารเช่นกัน จึงเป็นอีกหนึ่ง” “ม้ามืด” ที่น่าจับตามองแบบห้ามกะพริบตา
“ดร.ก้องศักด ยอดมณี” ลูกชาย ร้อยโทสุวิทย์ ยอดมณี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นอดีตหนุ่มแบงก์ที่พยายามจะก้าวสู่การเป็นนักการเมือง ประกอบกับรุ่นพ่อมีสายสัมพันธ์ฟากฝั่งทหารโยงใยกันถึงรัฐบาลชุดนี้ แม้ว่าอายุและชั่วโมงบินจะน้อย แต่เชื่อเถอะว่า ระดับลูกชายของ สุวิทย์ ยอดมณี ไม่ธรรมดาเช่นกัน
“นิวัฒน์ ลิ้มสุขนิรันดร์” และ “สุปราณี คุปตาสา” 2 คนนี้มีอะไรคล้ายๆ กัน
อย่างหนึ่งคือ เป็นผู้ใกล้ชิดและสนิทสนมกับ “เสธ.ยอด” “พล.ต.อินทรัตน์ ยอดบางเตย” อีกหนึ่งคีย์แมน” “ขาใหญ่” ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ กกท. มานักต่อนัก
นิวัฒน์เป็นเลขาธิการสมาคมกีฬายกน้ำหนักฯ ที่ เสธ.ยอด บัญชาการอยู่ ส่วนสุปราณี นั้น เธอผู้นี้เคยเขย่าวงการฟุตบอลมาแล้วถ้าจำกันได้ เธอคือ 1 ในหมากตัวหนึ่งที่ใช้โค่นล้ม วรวีร์ มะกูดี ออกจากวงการฟุตบอล และปัจจุบันเธอเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ แหล่งขุมทรัพย์ปีละ 4 พันล้านของวงการกีฬานั่นเอง
“ดร.พิสัณห์ นุ่นเกลี้ยง” เขาผู้นี้เป็นผู้รับทำตำรางานวิจัย เรื่องมาตรฐานกีฬาอาชีพที่ กกท. ดำเนินการ เป็นสายนักวิชาการจากค่ายนิด้า ด้วยความที่เห็นอะไรต่อมิอะไรในวงการกีฬาโดยเฉพาะวงการกีฬาอาชีพจึงกระโจนลงมาท้าชิงเก้าอี้กับเขาอีกราย
รายสุดท้ายนี่ดูจะสร้างสีสันไม่ใช่ย่อย “อธิปรัฐ กาญจนสุวรรณ” ว่ากันว่า เป้าประสงค์ของอธิปรัฐ อาจไม่ใช่เก้าอี้ตัวใหญ่ถึงขั้นผู้ว่าการ กกท. แต่เป้าคือ กลับสู่นายกสมาคมกีฬายิงปืนฯ และอธิปรัฐ เป็นเพียง” “คู่หู” ของ 1 ในผู้สมัครที่เหลืออีก 8 รายที่ถูกส่งมาเพื่อเขย่ากระบวนการสรรหาหากเกิดกรณี” “ผิดแผน” แค่นั้น ไม่เชื่อคอยดู…
ว่ากันต่ออีกว่า หากระหว่างทางของกระบวนการสรรหาเกิดอุบัติเหตุไม่ว่าจะ “ล้มกระดาน” หรือเดินต่อไม่ได้เพราะมีเรื่องฟ้องร้องกันอีนุงตุงนัง
คนที่จะคว้าพุงปลาไปนั่งกินคนเดียวอย่างสบายใจคือ “รองจุก” สังเวียน บุญโต ที่อยู่เฉยๆ อาจได้ทำหน้าที่ “รักษาการ” คอยดูสิ…