คนโดนสิงห์ : แก้ไม่หาย

คอลัมน์ Technical Time-Out

ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “อันโตนิโอ คอนเต้” มีบุคลิก “ฆ่าได้ หยามไม่ได้”

หรือถ้าพูดให้เบาลงมาหน่อยก็ประเภท “ยอมหัก ไม่ยอมงอ”

ไม่เชื่อลองไปสืบประวัติดูได้ว่า ทำไมถึงเลิกคุมยูเวนตุส และทีมชาติอิตาลี

ยิ่งหนนี้ยังพิสูจน์กึ๋นคุมเชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งที่เป็นปีแรกในการรับงานที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ แถมยังเป็นลีกหฤโหดสุดของโลกอีกด้วย

“ศักดิ์ศรี” ที่ปกติคอนเต้ก็ล้นคลั่กอยู่แล้ว ยิ่งทวีคูณขึ้นเป็นธรรมดา

แต่พอบอร์ดบริหารสโมสรซึ่งมีส่วนอนุมัติเงินซื้อนักเตะ ไม่เบิกง่ายจ่ายคล่องเอานักเตะตามที่คอนเต้หมายหัวมาให้ และถูกแทนด้วยแข้งเกรดต่ำกว่า มันก็ย่อมมีอาการหงุดหงิด เห็นอะไรขวางหูขวางตากันบ้าง

ทว่าพอเจอเบรกบ่อยครั้ง กุนซือวัย 48 ปีชาวอิตาลีที่ไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหม เฉ่งบอร์ดกันต่อหน้าไปแล้วไม่น้อย

ไม่อย่างนั้นคงไม่เอือมระอา กล้าเปิดสงครามผ่านสื่อเหมือนที่เห็น

 

ย้อนไปในเดือนเมษายน 2016 หรือก่อนยูโรรอบสุดท้าย 2 เดือนเศษ คอนเต้ตัดสินใจประกาศลาทีมชาติอิตาลีล่วงหน้า เพื่อเซ็นสัญญาคุมทัพ” “สิงห์บลู” 3 ปี ตั้งแต่ฤดูกาล 2016-2017 เป็นต้นไป

แน่นอนว่าการเลิกคุมทีมไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย

แต่ที่น่าแปลกคือการรับตำแหน่งนายใหญ่เชลซี ทีมเลื่องชื่อในเรื่องนักเตะขาใหญ่รวมหัว” “เตะไล่โค้ช”

แม้แต่” “เดอะ สเปเชียล วัน” โจเซ่ มูรินโญ่” เวอร์ชั่น 2 ก็ยังเอาไม่อยู่ จนเสียผู้เสียคนมาแล้ว

กระนั้นก็ตาม ปรากฏว่า เหมือนคอนเต้จะ “เอาอยู่” เพราะอย่างที่บอกไว้ว่า อดีตกองกลางระดับตำนานยูเว่ และดีกรีทีมชาติอิตาลีสมัยค้าแข้งรายนี้ ใช้เวลาแค่ปีแรกปีเดียวสามารถนำเชลซีเข้าป้ายคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกแบบม้วนเดียวจบ

ทุกอย่างคล้ายจะเพอร์เฟ็กต์

ทว่าระเบิดเวลาที่ชื่อ “ดีเอโก้ คอสต้า” ซึ่งคอนเต้ไปกดสวิตช์เอาไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดซีซั่น มีการนับถอยหลังอีกครั้ง

เนื่องจากศูนย์หน้าที่มีนิสัยไม่ยอมคนเช่นกัน ต้องการย้ายกลับแอตเลติโก้ มาดริด ก่อนถูกคอนเต้ขวางไว้ และลุกลามใหญ่โตช่วงตลาดซื้อขายกลางฤดูกาล จนหวิดย้ายไปโกยเงินหยวนที่ลีกจีน

ยังดีที่เรื่องราววุ่นทั้งหลายยุติชั่วคราว จากการลงมา “เคลียร์” ด้วยตัวเองของเจ้าของทีม “โรมัน อับราโมวิช”

แต่ก็เหมือนที่บอกไว้ พอจบซีซั่น คอนเต้ที่ถือไม้ต่อกับผลงานแชมป์ลีก ส่งข้อความผ่านมือถือให้คอสต้ารับรู้ว่า เขาไม่อยู่ในแผนการทำทีม

ส่วนดาวเตะชาวบราซิล ทว่าเลือกเล่นให้ทีมชาติสเปนก็ไม่ง้อ เผ่นกลับบ้านเกิด และลั่นวาจาไม่เล่นให้เชลซีถ้ายังมีคอนเต้อยู่

ท้ายที่สุดสมใจทั้งคู่ แต่การกลับแอตฯ มาดริดของคอสต้า ทิ้งรอยร้าวให้นักเตะสิงห์บลูที่อยู่ฝั่งเดียวกันเก็บไว้ในใจ

 

ตามด้วยการกดดันบอร์ดบริหารออกสื่อของคอนเต้ เมื่อพลาดหัวหอกอันดับ 1 ในใจ “โรเมลู ลูกากู” อดีตเด็กเก่าเชลซี เพราะสโมสรไม่ยอมสู้ราคา 75 ล้านปอนด์ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีมูรินโญ่คุมอยู่กล้าจ่ายให้เอฟเวอร์ตัน

จากนั้นก็เป็นกรณีที่ทีมกลับขายกลางรับ “เนมานย่า มาติช” ให้คู่แข่งลุ้นแชมป์ด้วยกันอย่าง “ปีศาจแดง” ยิ่งทำให้เลือดขึ้นหน้ากว่าเดิม

อีกทั้งแท็กติกคอนเต้ถูกทีมอื่นจับทางได้มากขึ้น ประกอบกับออกสตาร์ตพรีเมียร์ลีกเสียท่าคาบ้านให้เบิร์นลีย์ 2-3 เริ่มทำให้สปิริตเชลซีสั่นคลอน

แม้ฟอร์มโดยรวมหลังจากนั้นทำท่าจะกลับมาเป็นเชลซีทีมเดิม แต่ทุกครั้งที่เกิดความพ่ายแพ้ คอนเต้มักยกเรื่องการเสริมทัพมาด่าบอร์ดผ่านสื่อเสมอ

กระทั่งการปราชัยเกมลีกล่าสุดต่อวัตฟอร์ดเจ้าถิ่นแบบหมดรูป 1-4

 

หรือ 2 อาทิตย์หลังการพ่ายอาร์เซนอล 1-2 อดชิงรายการ “คาราบาว ลีกคัพ อังกฤษ” ทำให้เชลซีไม่ชนะใครถึง 4 จาก 5 นัดในเกมลีก

โดนจ่าฝูงแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ทิ้งขาดกระจุย 19 คะแนน และเหลือเกมให้เก็บแต้มเพียง 12 นัดไม่พอ ยังเป็นการแพ้ทีมรองบ่อน 2 นัดติดในลีก และเสียถึง 7 ประตูให้ทีมอย่าง “บอร์นมัธ” กับ “วัตฟอร์ด”

ส่งผลให้กระแสที่เชลซีไม่เก็บคอนเต้ไว้ในฤดูกาลหน้า เปลี่ยนเป็นในซีซั่นนี้เลย โดยเฉพาะตัวแทนที่เป็นเต็ง 1 “หลุยส์ เอ็นริเก้” อดีตนักบอลยุคเดียวกับคอนเต้ซึ่งกำลังว่างงานอยู่ หลังคุมบาร์เซโลน่าได้ถึง 9 แชมป์ ทว่าต้องระเห็จจากคัมป์นูเพราะไม่ถูกใจแข้งอิทธิพล “ลิโอเนล เมสซี่” จ่อนั่งเก้าอี้ทีมสิงห์บลูภายในไม่กี่วันเต็มแก่

เรียกได้ว่าเชลซีแก้ไม่หายกับปัญหาเรื่องโค้ชจริงๆ