ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 16 - 22 กรกฎาคม 2564 |
---|---|
เผยแพร่ |
ไทม์เอาต์/Red Monster
‘โรแบร์โต้ มันชินี่’ ผู้กอบกู้ ‘อิตาลี’
จากยุคตกต่ำสู่แชมป์ยูโร
ศึกยูโร 2020 เป็นอิตาลีคว้าแชมป์ไปครอง หลังจากเสมออังกฤษใน 120 นาที 1-1 ก่อนเฉือนชนะจุดโทษหวุดหวิด 3-2
ถือเป็นแชมป์ยูโรหนที่ 2 ของอิตาลี ซึ่งห่างจากสมัยแรกของพวกเขาในปี 1968 นานถึง 53 ปี
อิตาลีผลงานดีตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม จากการชนะรวด 3 นัด ปราบตุรกีกับสวิตเซอร์แลนด์ สกอร์เดียวกัน 3-0 และเฉือนชนะเวลส์ 1-0 ซิวแชมป์กลุ่มเอมาได้
แต่รอบน็อกเอาต์เป็นต้นมานั้นต้องปาดเหงื่อพอสมควร
เพราะรอบ 16 ทีม ต้องออกแรง 120 นาทีถึงจะชนะออสเตรีย 2-1
ต่อด้วยการเบียดชนะเบลเยียม 2-1 ในรอบ 8 ทีม
และมารอบรองก็ชนะจุดโทษสเปน 4-2 หลังเสมอกัน 1-1 ใน 120 นาที
กระทั่งมาคว้าแชมป์หลังชนะดวลจุดโทษกับอังกฤษ
เท่ากับว่า อิตาลีต้องเตะ 120 นาที 3 จาก 4 แมตช์หลังสุด ทั้งรอบ 16 ทีม, รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ แกร่งทั้งกายและใจเลยก็ว่าได้
ด้วยฟอร์มที่ยอดเยี่ยมในศึกยูโร บางคนอาจจะลืมไปแล้วว่า ก่อนหน้านี้ อิตาลีชวดลุยฟุตบอลโลก 2018 รอบสุดท้าย เป็นครั้งแรกในรอบ 60 ปี และครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ทีมชาติ จนต้องปลด จามปิเอโร่ เวนตูร่า ออกจากตำแหน่งกุนซือในขณะนั้น
โรแบร์โต้ มันชินี่ เริ่มเข้ามาทำหน้าที่คุมอิตาลีในช่วงกลางปี 2018 รับไม้ต่อจากยุคฟอร์มตกของอิตาลี กอบกู้สู่การเถลิงแชมป์ยูโรในปีนี้ได้สำเร็จภายในระยะเวลาทำทีม 3 ปีเท่านั้น
เมื่อถูกสื่อถามถึงการหลั่งน้ำตาหลังจบเกม มันชินี่ระบุว่าเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากประสบความสำเร็จในบางสิ่งที่เหลือเชื่อ การได้เห็นนักเตะและแฟนๆ ต่างเฉลิมฉลอง มันเหมือนกับเราได้เห็นผลของทุกสิ่งที่เราสร้าง ผลจากความทุ่มเทของเราทั้งหมดตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะช่วง 50 วันมานี้ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ราวกับพวกเราได้หลอมรวมจิตวิญญาณและสปิริตทีมเอาไว้ด้วยกัน และนักเตะสมควรได้รับเครดิตนั้น
ด้าน จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กัปตันทีมชาติอิตาลี วัย 36 ปี กล่าวว่า อิตาลีสมควรเป็นผู้ชนะในเกมนี้ และยิ่งในยุคนี้เราก็ยิ่งตระหนักดีว่าการได้ถ้วยรางวัลดังกล่าวนั้นมีความหมายมากแค่ไหน
ขณะที่ เลโอนาร์โด้ โบนุชชี่ ปราการหลังจอมเก๋าวัย 34 ปีของอิตาลี ระบุว่า เราเคยผิดหวังกับความล้มเหลวในครั้งที่ชวดลุยฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย แต่คุณจำเป็นต้องเชื่อมั่นอยู่เสมอ มุ่งมั่น และอย่ายอมแพ้ และนี่คือยุคที่อิตาลีฟื้นฟูตัวเองกลับมาอีกครั้ง และเชื่อว่าโค้ชและทีมชุดนี้จะสามารถทำบางสิ่งได้อีกแน่ในอนาคต
นอกจากนี้ เมื่อรวมนัดชิงชนะเลิศกับอังกฤษ อิตาลีภายใต้การคุมทีมของมันชินี่ไม่แพ้ใครมาติดต่อกัน 34 นัดแล้ว
โดยบีบีซีระบุว่า 34 นัดไร้พ่ายติดต่อกันของอิตาลีเป็นชัยชนะถึง 28 นัด และเสมอ 6 แมตช์ นอกจากนี้ ยังยิงไปถึง 87 ประตู และเสียเพียง 11 ลูกเท่านั้น
เรียกได้ว่า มันชินี่พกประสบการณ์และแท็กติกมากมายมาใช้ และยังคงรักษาจุดแข็งของอิตาลีที่ขึ้นชื่อเรื่องเกมรับ แถมยังเสริมเกมรุกให้ดุดันขึ้น
อิตาลีชุดนี้ มีนักเตะเก๋ามากประสบการณ์นำทีมอย่างโบนุชชี่และคิเอลลินี่ พร้อมกับผสมผสานแข้งรุ่นใหม่ฟอร์มแรงอย่าง จานลุยจิ ดอนนารุมม่า มือกาวจอมหนึบ, นิโคโล่ บาเรลล่า ผู้เล่นมิดฟิลด์ และ เฟเดริโก้ เคียซ่า ปีกตัวจี๊ด ที่ต่างแจ้งเกิดในศึกยูโร และดูมีอนาคตที่สดใสรออยู่ในทีมชาติ
ในประวัติศาสตร์วงการลูกหนัง มีราว 3 ชาติเท่านั้นที่สามารถคว้าแชมป์ยูโรและแชมป์ฟุตบอลโลกต่อเนื่องกัน นั่นคือ เยอรมนีตะวันตก (ยูโร 1972 และบอลโลก 1974), ฝรั่งเศส (บอลโลก 1998 กับ ยูโร 2000) และสเปน (ยูโร 2008 และบอลโลก 2010)
นั่นหมายความว่า มันชินี่มีโอกาสที่จะพาอิตาลีร่วมจารึกประวัติศาสตร์นั้นได้ หากผงาดซิวโทรฟี่ฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์
น่าจับตามองว่าอิตาลีของมันชินี่ชุดนี้จะฟอร์มเปรี้ยงและไปได้ไกลแค่ไหนในศึกฟุตบอลโลกที่กำลังจะมาถึง