เด็กเก็บบอล : บทสรุป “ไทยลีก” เลกแรก มุ่งสู่เลกสอง ตัดสินแชมป์

คอลัมน์เขย่าสนาม
เด็กเก็บบอล [email protected]

ศึกฟุตบอล “โตโยต้า ไทยลีก 2017” กำลังจะกลับมาฟาดแข้งกันในเลกที่ 2 หลังจากที่หลีกทางให้กับฟุตบอลทีมชาติ ในยุคใหม่ของ “มิโลวาน ราเยวัช” กุนซือชาวเซอร์เบีย

จบ 17 นัดแรก ผู้นำบนตารางคือ “กิเลนผยอง” “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” แชมป์เก่า ซึ่งเก็บไป 37 แต้ม เท่ากับผู้ท้าชิงอย่าง “ปราสาทสายฟ้า” “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” แต่เหนือกว่าด้วยประตูได้เสียที่มากกว่า 2 ประตู

ตามกฎของไทยลีกแล้ว จริงๆ ถ้าหากมี 2 ทีมที่คะแนนเท่ากัน จะต้องใช้ผลงานจากการพบกัน หรือเฮดทูเฮด เป็นส่วนตัดสินแชมป์ แต่ช่วงระหว่างฤดูกาลแบบนี้ จะใช้ประตูได้เสียดูไปก่อน ทำให้เป็นกิเลนผยองที่ได้นำจ่าฝูงอยู่นั่นเอง

ขณะที่ทีมอื่นๆ เองที่ตามมาก็ถือว่ายังไม่ห่างมาก จากจำนวนเกมที่ยังเหลืออีก 17 เกม ไม่ว่าจะเป็น “กว่างโซ้งมหาภัย” “เชียงราย ยูไนเต็ด”, “กระต่ายแก้ว” “บางกอกกล๊าส เอฟซี” ที่มี 33 คะแนนเท่ากัน

หรือยักษ์หลับอย่าง “ฉลามชล” ชลบุรี เอฟซี ที่เรื่อยๆ มาเรียงๆ แต่ก้าวขึ้นมาติดท็อป 5 ได้แล้ว รวมไปถึงรองแชมป์เก่า “แข้งเทพ” แบงค็อก ยูไนเต็ด ที่ตามอยู่ 8 คะแนน

 

ขณะที่ในส่วนของพื้นที่เรดโซน หรือโซนตกชั้นนั้นหลังจากจบเลกแรกนั้น ทีมหนึ่งที่อาจจะต้องจองตั๋วลงไปเล่นในไทยลีก 2 ฤดูกาลหน้าคงหนีไม่พ้น “ซุปเปอร์พาวเวอร์ สมุทรปราการ” ที่ผ่านไป 17 นัดยังเก็บชัยชนะไม่ได้เลย แถมเสมอเพียงเกมเดียว มีอยู่ 1 คะแนนเท่านั้น

ขณะที่ทีมอื่นๆ เริ่มกระเตื้องกันขึ้นมาบ้าง ทั้ง “อินทรีอัคนี” “ไทยฮอนด้า ลาดกระบัง”, “กูปรีอันตราย” “ศรีสะเกษ เอฟซี” และ “ค้างคาวไฟ” “สุโขทัย เอฟซี” ที่มีกันอยู่ 15 คะแนนเท่ากันทั้งหมด

อย่างไรก็ตาม ความเฮี้ยนที่สุดของเลกแรกคงหนีไม่พ้นการ “ปลดโค้ช” เพราะว่าจบเลกแรกนั้นมีโค้ชไทยลีกต้องตกงานถึง 7 รายด้วยกัน

ทั้ง “โค้ชโอ่ง” “ดุสิต เฉลิมแสน” จากศรีสะเกษ เอฟซี, “โค้ชหนุ่ย” “เฉลิมวุฒิ สง่าพล” จากซุปเปอร์พาวเวอร์, “โค้ชชาย” “สมชาย มากมูล” จากสุโขทัย เอฟซี, “แซร์โจ้ ฟารีอาส” จากสุพรรณบุรี, “โค้ชโต่ย” “ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย” จากไทยฮอนด้า ลาดกระบัง, “เจสัน วิธ” จากซุปเปอร์พาวเวอร์ และ “โค้ชทัย” “อุทัย บุญเหมาะ” จากบีอีซี เทโรศาสน

คือชื่อของโค้ชที่ผลงานไม่เป็นไปตามเป้าที่สโมสรตั้งเอาไว้ทั้งสิ้น

 

จบเลกแรกไทยลีกมีการยิงกันไปแล้วถึง 491 ประตู โดยดาวซัลโวตกเป็นของ “ดราแกน บอสโควิช” ดาวยิงจากแบงค็อกนั้นฟอร์มแรงอย่างมาก กดไปถึง 16 ประตู นำเดี่ยวเป็นดาวซัลโว โดยมี “ดิโอโก้ หลุยส์ ซานโต” จากบุรีรัมย์ และ “เรนาน มาร์เกวซ” ที่ตามหลังอยู่ 2 ประตู

ขณะที่นักเตะไทยที่ทำประตูได้มากที่สุดคือ “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา” ดาวยิงตัวเก่งของ “ช้างศึก” และเอสซีจี เมืองทองฯ ที่กดไป 10 ประตูแล้ว ซึ่งทำสถิติเป็นผู้เล่นคนที่ 4 ที่ยิงในไทยลีกเกิน 100 ประตูขึ้นไป

ช่วงเลกแรกของแชมป์เก่านั้น ต้องบอกว่าขึ้นๆ ลงๆ ช่วงต้นฤดูกาลเปิดตัวด้วยการชนะรวด 6 เกมติดแถมไม่เสียประตู ก่อนจะถูกเปิดซิงด้วยคู่ปรับสำคัญอย่างบุรีรัมย์

หลังจากนั้นทำท่าจะดีขึ้น ไม่แพ้ใคร 6 เกมติดๆ กัน แต่กลับพลาดท่าให้ 3 น้องใหม่อย่าง ไทยฮอนด้า, “สิงห์เจ้าท่า” “การท่าเรือ เอฟซี” และ “พญาอินทรี” “อุบล ยูเอ็มที” ก่อนจะฟื้นในนัดสุดท้ายของเลกด้วยการชนะเชียงราย ทำให้จบที่จ่าฝูงได้ในที่สุด

จากผลงานที่ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้กิเลนผยองจัดเต็มในการเสริมทัพเพื่อเลกสอง ทั้งการดึง “แฮร์เบอร์ตี้ เฟอร์นันเดซ” อดีตดาวยิงไทยลีก กลับมาระเบิดเพลงแข้งอีกครั้ง หรือบรรดาแข้งทีมชาติอย่าง “ปีโป้” “สิโรจน์ ฉัตรทอง”, “ประกิต ดีพร้อม”, “ทศวรรษ ลิ้มวรรณเสถียร”

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเครื่องหมายคำถามว่าการขาดหายไปของ “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ดาวเตะคนสำคัญที่จะไปลุยเจลีกในเลกสองกับคอนซาโดเล่ ซัปโปโร ด้วยสัญญายืมตัวนั้น จะส่งผลกระทบกับทีมมากแค่ไหน

 

ในขณะที่ผู้ท้าชิงอย่างบุรีรัมย์นั้นอาจจะไม่มีการเสริมทัพที่หวือหวามาก แต่การได้ “อันเดรียส ตูเญซ” กลับมาจากสัญญายืมตัวนั้น ถือว่าช่วยเสริมแนวรับให้แกร่งขึ้นแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ทีมก็ต้องประสบปัญหาใหญ่ เมื่อ “โปโป้” “รันโก้ โพโพวิช” กุนซือใหญ่ของทีม ไปก่อคดีทำร้าย “แอนดี้ ชิลลิงเจอร์” นักกายภาพของแข้งเทพ ในนัดสุดท้ายเลกแรกที่เจอกัน ทำให้โดนบทลงโทษห้ามคุมทีมข้างสนามถึง 3 เดือนด้วยกัน

หลายครั้งคนอาจจะบอกว่าการมีกุนซือหรือไม่มีกุนซือยืนคุมข้างสนามนั้น อาจจะไม่มีผลมากนัก แต่เชื่อว่าการสื่อสารต่างๆ จะทำได้ยากขึ้น และส่งผลต่อเกมในสนามแน่นอน ซึ่งต้องดูว่าปราสาทสายฟ้าจะรับมือกับจุดนี้อย่างไร

นอกจากนี้ บรรดาทีมที่ตามมาทั้งเชียงราย, บางกอกกล๊าส, ชลบุรี หรือแบงค็อก ก็ยังถือว่ามองข้ามไม่ได้ เพราะทุกทีมพร้อมจะสอดแทรกขึ้นมาร่วมลุ้นแชมป์กับสองทีมนำแน่นอน

สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้คว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ คงต้องตัดสินกันในอีก 17 นัดที่เหลือ เชื่อเลยว่าดุเดือดกว่าเลกแรกที่ผ่านมาแน่นอน