เมอร์คิวรี่ : จากความผิดหวังตั๋ว “โอลิมปิก 2020” สู่ความฝันใหญ่ลุย “ฟุตบอลโลก 2026”

ถือได้ว่าขยับเข้าใกล้มากที่สุดกับการคว้าโควต้าเข้าร่วมมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น สำหรับทัพนักเตะ “ช้างศึก” “ทีมฟุตบอลชายทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี” ซึ่งสามารถสร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้าถึงรอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้าย ในศึกชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเองในช่วงเดือนมกราคมนี้ แต่ก็ต้องฝันสลายหลังจากพ่ายหวิวให้กับ “เศรษฐีน้ำมัน” “ซาอุดีอาระเบีย” 0-1 จากจุดโทษวีเออาร์ที่น่ากังขาของผู้ตัดสินชาวโอมาน

แข้งช้างศึกยู 23 ภายใต้การคุมทีมของ “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือชาวญี่ปุ่นวัย 64 ปี สร้างผลงานในรอบแรกได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการประเดิมสนามถล่มชนะ “บาห์เรน” 5-0 จากนั้นนัดสองพ่าย “ออสเตรเลีย” 2-1 และนัดที่สามยันเสมอ “อิรัก” 1-1 ทำให้จบอันดับ 2 ของกลุ่มเอ ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาต์ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกได้สำเร็จ แต่กลับต้องเจอจุดโทษปริศนาจากเชิ้ตดำชาวโอมาน จนท้ายที่สุดพ่ายหวิวให้กับ “ซาอุดีอาระเบีย” 0-1 ตกรอบไปท่ามกลางน้ำตาท่วมสนาม

อย่างไรก็ตาม ถือได้ว่า แข้งช้างศึกไทยสามารถทำผลงานใกล้เคียงมากที่สุดกับการลุ้นไปโอลิมปิกเกมส์เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 52 ปี

หลังจากก่อนหน้านี้ทีมชาติไทยเคยผ่านเข้าไปโลดแล่นในเวทีโอลิมปิกมาแล้วถึง 2 ครั้งด้วยกัน คือ “โอลิมปิกเกมส์ 1956” ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และ “โอลิมปิกเกมส์ 1968” ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก

หลังจากนั้นแข้งไทยก็ยังไม่เคยเฉียดเข้าใกล้การลุ้นไปโอลิมปิกเกมส์มากเท่ากับครั้งนี้ที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพรอบคัดเลือกเองด้วย

 

ย้อนกลับไปเมื่อ 59 ปีที่แล้ว ทีมชาติไทยได้เข้าไปเล่นในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 1956 ที่นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เป็นครั้งแรก โดยขณะนั้นมี “พล.ต.เผชิญ นิมิบุตร” ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งได้มีการค้นหานักเตะไทยจากหลายสโมสร เพื่อรวมทีมกันเป็นทีมชาติไทย ชุดประวัติศาสตร์ที่เข้าร่วมทำศึกฟุตบอลในกีฬาอันยิ่งใหญ่แห่งมวลมนุษยชาติ

นักฟุตบอลทีมชาติไทย ชุดโอลิมปิกเกมส์ครั้งนั้น นำทัพโดย “พล.ต.ดร.สำเริง ไชยยงค์” โดยรูปแบบของการแข่งขันเป็นการแข่งขันแบบแพ้คัดออกโดยทีมชาติไทยจับสลากเข้าไปพบกับ ทีมชาติสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ.2499 ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมชาติไทย พ่ายไปยับเยิน 0-9 และนับเป็นสถิติแพ้สูงสุดของทีมชาติไทยจวบจนปัจจุบันนี้

ทีมชาติไทยได้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 1968 ที่กรุงเม็กซิโก ซิตี้ ประเทศเม็กซิโก เป็นครั้งที่ 2 ซึ่งได้มีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันเป็นแบบแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยทีมชาติไทยอยู่ในกลุ่มเดียวร่วมกับบัลแกเรีย, กัวเตมาลา และเชโกสโลวะเกีย

ซึ่งผลการแข่งขันในครั้งนั้น ปรากฏว่า ทีมชาติไทย แพ้ บัลแกเรีย 0-7, แพ้ กัวเตมาลา 1-4 และนัดสุดท้ายพ่ายให้กับเชโกสโลวะเกีย 0-8 และตกรอบไปในที่สุด

แต่ในโอลิมปิกเกมส์ครั้งนั้น แข้งไทยสามารถสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการยิงประตูแรกในกีฬาโอลิมปิกเกมส์ได้สำเร็จในเกมพบกัวเตมาลา จากฝีเท้าของ “อุดมศิลป์ สอนบุตรนาค” ซึ่งยิงได้ในนาทีที่ 44 ของเกม

อีกทั้งในเกมดังกล่าวยังมีอีกหนึ่งสถิติที่ไม่น่าจดจำสำหรับทีมชาติไทยคือ “ชัชชัย พหลแพทย์” โดนใบแดงในช่วงครึ่งหลัง และนับเป็นใบแดงแรกของทีมชาติไทยในมหกรรมกีฬาโอลิมปิกอีกด้วย

 

เวลาผ่านไปกว่า 52 ปี แข้งไทยพยายามลงแข่งขันรอบคัดเลือก เพื่อหวังผ่านเข้าไปสู่โอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 3 ในประวัติศาสตร์ไม่ได้สักที ซึ่งล่าสุดก็เป็นการทำผลงานขยับเข้าใกล้ได้มากที่สุดในศึกฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย 2020 รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดยทางด้านของ “พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ได้ดึงทัวร์นาเมนต์ดังกล่าวให้มาจัดการแข่งขันที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพเอง

อย่างไรก็ตาม แม้จะผิดหวังจากการคว้าตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2020 แต่นักเตะไทยหลายคนในชุดนี้ได้แสดงศักยภาพออกมาให้เห็นว่า พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาสู่ทีมชาติชุดใหญ่ได้ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น “สุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, ศุภชัย ใจเด็ด, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์, สรวิทย์ พานทอง, กฤษดา กาแมน, ทิตาธร อักษรศรี, ทิตาวีร์ อักษรศรี, ศฤงคาร พรหมสุภะ, ชินภัทร์ ลีเอาะ” และ “เบนจามิน เจมส์ เดวิส” ลูกครึ่ง 3 สัญชาติไทย-อังกฤษ-สิงคโปร์

ในรายของสุภโชค สารชาติ, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, ศุภชัย ใจเด็ด, อานนท์ อมรเลิศศักดิ์ ได้มีโอกาสพิสูจน์ฝีเท้าในทีมชุดใหญ่มาแล้ว ขณะที่คนอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาสอบผ่าน และดีเพียงพอกับการก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักในทัพช้างศึกชุดใหญ่

รวมทั้งเบนจามิน เจมส์ เดวิส ที่มีโอกาสได้ลงเล่นในทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์เอเชีย 2 นัด แต่ทุกนาทีที่เขาได้รับโอกาสได้ลงสนาม เขาสามารถโชว์ฝีเท้าให้เห็นถึงการเป็นนักเตะดาวรุ่งที่น่าจับตามอง

 

“อากิระ นิชิโนะ” กุนซือทีมชาติไทย ระบุว่า พัฒนาการของทีมชุดนี้ตั้งแต่เข้ามาคุมทีมตอนซีเกมส์ ตอนนั้นหลายคนยังขาดประสบการณ์ แต่ละคนมีเทคนิคส่วนตัวที่ดีมาก และทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ดี

จากการทำงานตลอดช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่เขาพัฒนาขึ้นมามากคือเรื่องความมั่นใจ กล้าเดินเกมรุกใส่ เล่นตามสไตล์ของเรา ไม่ว่าจะเจอใคร ทีมตรงข้ามจะแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างอิรัก, บาห์เรน หรือออสเตรเลีย เราก็ยังกล้าเดินหน้าเข้าใส่ ซึ่งพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพวกเขามั่นใจ และกล้าที่จะสู้

“ตลอด 4 เกมที่ผ่านมา เราได้ประสบการณ์มากมาย ซึ่งผู้เล่นชุดนี้ก็จะก้าวไปเป็นกำลังหลักของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในการลุยศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ในปี 2026 ผมเชื่อว่าจากประสบการณ์ครั้งนี้ ทุกคนจะสามารถนำไปพัฒนาต่อยอดได้ แต่นักเตะเหล่านี้ยังขาดประสบการณ์ในเกมระดับสูง อยากให้มีการเข้าแคมป์ และอุ่นเครื่องกับทีมที่เหนือกว่า โดยจะต้องวางแผนระยะยาว หากต้องการจะไปฟุตบอลโลก 2026 เราต้องมีประสบการณ์มากขึ้น” นิชิโนะกล่าว

จากประสบการณ์ที่แข้งช้างศึกหนุ่มไทยได้ในเกมระดับชิงแชมป์เอเชียครั้งนี้ ประกอบกับความผิดหวังจากการพลาดตั๋วโอลิมปิกเกมส์แบบน่าเจ็บใจจะช่วยทำให้กลายเป็นพลังฮึดให้นักเตะหนุ่มไทยเหล่านี้ได้พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ต่อไปในอนาคต

ซึ่งตอนนี้ยังเหลือระยะเวลาในการยกระดับฝีเท้าอีกกว่า 6 ปี เพื่อก้าวข้ามความผิดหวังไปสู่ความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าในการชิงโควต้าไปรอบสุดท้ายในศึกฟุตบอลโลก 2026

หากทุกคนยังมีความฝันสักวันก็อาจจะเกิดขึ้นเป็นความจริงได้!