สนทนาภาษาลูกหนังกับ “ปิยะพงษ์” เจาะความล้มเหลว “บอลไทย” วิเคราะห์ความสำเร็จ “เวียดนาม”

ปี2019 ถือเป็นปีแห่งความล้มเหลวของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ อย่างแท้จริง!

เมื่อผลงานทีมชาติไทยไล่ตั้งแต่รุ่นอายุไม่เกิน 15, 16, 18, 19, 23 ปี และฟุตบอลหญิง ได้สร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลไทยแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งปี

โดยเฉพาะรายการซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นทัวร์นาเมนต์แห่งศักดิ์ศรีของทีมช้างศึก ดีกรีแชมป์เก่า 3 สมัยติดต่อกัน

แต่สุดท้ายแล้ว ความฝันของแฟนบอลไทยต้องพังทลายลงอีกครั้ง เพราะขุนพลช้างศึกร่วงตกรอบแรกแบบน่าเจ็บปวด หลังจบอันดับ 3 ของกลุ่ม โดยมีคะแนนเป็นรองทั้งเวียดนามและอินโดนีเซีย

ก่อนที่ทีมชาติเวียดนามของ “ปาร์ก ฮัง ซอ” จะผงาดคว้าแชมป์ซีเกมส์เป็นสมัยแรกในรอบ 60 ปี

ความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทยชุดซีเกมส์นำมาสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากแฟนบอล ทั้งเรื่องความสามารถของนักเตะ หรือประเด็นการมองข้ามโควต้าผู้เล่นอายุเกิน 23 ปี

นอกจากนี้ ยังลามไปถึงตัวผู้บริหารองค์กรอย่าง “บิ๊กอ๊อด” พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ และ “อากิระ นิชิโนะ” เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น ในฐานะแม่ทัพใหญ่ ที่นำลูกน้องออกไปรบแล้วพ่ายแพ้กลับมา

ทีมข่าวกีฬามติชนทีวีมีโอกาสสัมภาษณ์ “เพชฌฆาตหน้าหยก” น.อ.ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน อดีตกองหน้าระดับตำนานทีมชาติไทย เกี่ยวกับผลงานของทีมช้างศึกในรอบปีที่ผ่านมา ว่าทำไมมาตรฐานฟุตบอลไทยจึงตกต่ำลงอย่างน่าใจหาย

ปิยะพงษ์วิเคราะห์ว่า การตกรอบแรกซีเกมส์อาจทำให้แฟนบอลจำนวนหนึ่งไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมากนัก เพราะมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวนิชิโนะสูง แต่ถ้าเกิดเป็นโค้ชไทยทำทีมตกรอบแรก โค้ชคนนั้นคงถูกแฟนบอลด่ามาราธอนข้ามปี

“บอลซีเกมส์ถ้าป้องกันแชมป์ไม่ได้ ถ้าเป็นโค้ชไทย ผมว่าอาจจะมีปัญหาทันที หากเป็นปิยะพงษ์, ธชตวัน ศรีปาน, อนุรักษ์ ศรีเกิด, วรวุธ ศรีมะฆะ ทำทีมตกรอบ รับรองถูกด่าเละ เพราะว่าในอาเซียน ไทยก็ต้องเป็นแชมป์เท่านั้น

“แต่ถ้าเป็นนิชิโนะ แฟนบอลไทยบางส่วนอาจจะรู้สึกเฉยๆ ส่วนสมาคมก็บอกว่าไม่เป็นไร ไว้ค่อยไปลุ้นในรายการชิงแชมป์เอเชีย ยู-23 รอบคัดเลือก

“ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขามีความศรัทธาต่อนิชิโนะแล้ว แต่สำหรับคนในวงการฟุตบอลไม่เฉยนะ เพราะถือว่าสมาคมล้มเหลว” อดีตกองหน้าทีมชาติไทย วัย 60 ปี เผย

ปิยะพงษ์เชื่อว่า การที่นิชิโนะไม่มีผู้ช่วยชาวญี่ปุ่นมาร่วมงานด้วย อาจทำให้เขาต้องใช้เวลานานถึง 2-3 ปี กว่าจะนำความสำเร็จมาสู่ทีมชาติไทย

“ตอนนี้นิชิโนะเหมือนหัวเดียวกระเทียมลีบ คุณต้องมีทีมงานญี่ปุ่นมาช่วยงาน 2 คน คนหนึ่งคอยดูเกมบนอัฒจันทร์ อีกคนอยู่ข้างกาย

“ส่วนโค้ชไทยก็คงไว้อย่างเดิม เพราะทุกวันนี้กว่าจะแปลภาษากันไปมา ระหว่างโค้ชกับล่าม ล่ามกับนักเตะ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7 นาที กว่าจะเปลี่ยนตัวผู้เล่นได้

“ถามว่าเชื่อมั่นในตัวโค้ชไทยได้ไหม ผมบอกเลยว่าได้ แต่คุณต้องมีผู้ช่วยคนญี่ปุ่นคอยอยู่กับคุณ ไปไหนไปกันทั้งในและนอกสนาม อย่างผมมีส่งเสริม มาเพิ่ม หรือพี่หรั่ง (ชาญวิทย์ ผลชีวิน) มีกวิน คเชนทร์เดชา เป็นคู่หู” ปิยะพงษ์กล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

สำหรับภารกิจสำคัญของนิชิโนะในปี 2020 จะเริ่มต้นด้วยศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เพื่อหาตัวแทน 3 ทีมไปเล่นฟุตบอลโอลิมปิกรอบสุดท้าย ที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเดือนกรกฎาคม โดยทีมชาติไทยอยู่สายเอ ร่วมกับบาห์เรน, ออสเตรเลีย และอิรัก แข่งขันระหว่างวันที่ 8-26 มกราคม

ต่อด้วยฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มจี ซึ่งทีมชาติไทยเหลือโปรแกรมฟาดแข้งอีก 3 นัด คือ วันที่ 26 มีนาคม พบอินโดนีเซีย (เหย้า), วันที่ 4 มิถุนายน พบสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (เยือน) และวันที่ 9 มิถุนายน พบมาเลเซีย (เหย้า)

โดยขณะนี้ทีมชาติไทยอยู่ที่ 3 ของกลุ่ม แข่ง 5 นัด มี 8 คะแนน ตามหลังมาเลเซียกับเวียดนามทีมจ่าฝูงอยู่ 1 และ 3 คะแนนตามลำดับ

ถือเป็น 2 ทัวร์นาเมนต์สำคัญที่จะพิสูจน์ฝีมือนิชิโนะ!

ขณะเดียวกัน เพชฌฆาตหน้าหยกวิเคราะห์ปัจจัยความสำเร็จของทีมชาติเวียดนามที่ทำผลงานอย่างยอดเยี่ยมนับตั้งแต่ได้ปาร์ก ฮัง ซอ มาคุมทัพเมื่อปี 2017

หลังจากนั้น วงการฟุตบอลเวียดนามก็เติบโตอย่างก้าวกระโดด เริ่มจากคว้าอันดับ 4 เอเชี่ยนเกมส์ 2018, คว้ารองแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ประเทศจีน, คว้าแชมป์เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ, เข้ารอบ 8 ทีมเอเชี่ยนคัพ และล่าสุดคว้าแชมป์ซีเกมส์

ปิยะพงษ์เชื่อว่าระบบการปกครองและความสามารถของโค้ชคือสูตรผสมที่ลงตัว

“ถ้ามองภาพรวมของประเทศเวียดนาม ขออนุญาตนะครับ ต้องบอกว่าเวียดนามไม่ใช่ประเทศประชาธิปไตย 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นระบบสังคมนิยม

“การปกครองของเขามีเรื่องของระเบียบวินัย ความรักชาติ การดิ้นรนต่อสู้ จึงทำให้เด็กของเวียดนามมีความทะเยอทะยาน มีความสู้ ขยัน ไม่ย่อท้อ ไม่มีอีโก้มาก

“การได้ปาร์ก ฮัง ซอ มาช่วยสร้างอารมณ์ ใช้จิตวิทยา พัฒนาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ พัฒนารูปแบบการเล่น เติมแท็กติก เติมเทคนิคสไตล์เกาหลีเข้าไปสู่วัฒนธรรมของเวียดนาม ทำให้นักเตะมีความเชื่อมั่นในตัวโค้ช และพร้อมปฏิบัติตามคำสั่ง

“ถ้าคุณอยากเป็นแชมป์ คุณต้องวิ่งๆ ต้องชนะให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นไทยหรือชาติใดก็ตาม ถือเป็นบุคลากรที่เขาเรียกว่าเวียดนามเอาไปถูกฝาถูกตัว” ปิยะพงษ์กล่าวถึงอดีตเพื่อนร่วมสโมสรลักกี้โกลด์สตาร์ ที่เข้ามายกระดับทีมชาติเวียดนาม

ส่วนมุมมองเรื่องการพัฒนาทีมชาติไทย ปิยะพงษ์เสนอว่า สมาคมต้องมีระบบการเล่นที่เรียกว่า “ไทยแลนด์เวย์” อย่างเป็นรูปธรรม เพราะที่ผ่านมามีแค่คำพูด แต่ยังจับต้องไม่ได้ ทั้งนี้ เพื่อปลูกฝังตั้งแต่ทีมระดับเยาวชน

ที่สำคัญ พล.ต.อ.ดร.สมยศต้องหาบุคลากรที่มีความรู้เรื่องศาสตร์ของฟุตบอลอย่างถ่องแท้เข้ามาช่วยงาน ขณะที่ภาพรวมในการบริหารจัดการถือว่าทำได้ดีเยี่ยมแล้ว

“สมาคมฟุตบอลฯ มันตัดสินด้วยผลงานทีมชาติ ในเมื่อผลงานไม่ดี ท่านนายกฯ ก็ต้องไปดูว่ามันเกิดจากสาเหตุอะไร ต้องเปลี่ยนตรงไหน ทำอย่างไรให้มันดีขึ้น

“การดำรงตำแหน่งนายกสมาคม ก็ใกล้จะครบวาระแล้ว ผมอยากให้ท่าน (สมยศ) อยู่ต่อนะ ต้องยอมรับว่าท่านบริหารงานดีจริงๆ มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัด แต่ถ้ามีคนลงแข่งขัน ก็สู้กันไปตามระบบ

“แต่ถ้าท่าน (สมยศ) ชนะอีกสมัย ผมว่าท่านก็จะได้สานต่องานที่ทำอยู่ ก้าวเดินต่อไปอีก 4 ปี แต่ถ้า 4 ปีข้างหน้ายังเหมือนเดิม ก็อย่าไปสนับสนุนท่านเลย” ปิยะพงษ์กล่าวปิดท้าย