เมอร์คิวรี่ : ผ่าเป้า 121 ทองทัพไทยซีเกมส์ ภารกิจใหญ่ชิงเจ้าแห่งอาเซียน

“ทัพนักกีฬาทีมชาติไทย” มีภารกิจสำคัญในการเข้าร่วมชิงชัยการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ 2019 ครั้งที่ 30 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ช่วงวันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาติในภูมิภาคอาเซียน

แต่ช่วงหลังที่ผ่านมาถูกลดมาตรฐานลงไป เพราะมีการยัดกีฬาพื้นบ้านเข้ามาชิงชัย เพื่อให้เจ้าภาพประกาศศักดาครองเจ้าเหรียญทองเสียเอง…

เจ้าภาพซีเกมส์ 2019 “ฟิลิปปินส์” จัดการชิงชัยมากถึง 56 ชนิดกีฬา รวมอีเวนต์ทั้งสิ้น 530 เหรียญทอง ซึ่งเพิ่มขึ้นจากซีเกมส์ครั้งก่อน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อ 2 ปีก่อน ที่จัดชิงชัยเพียง 38 ชนิดกีฬา รวมอีเวนต์ 404 เหรียญทอง

ทำให้เรียกได้ว่า ซีเกมส์ 2019 จะมีการชิงชัยเหรียญรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาซีเกมส์เลยทีเดียว

 

ฟิลิปปินส์ กระจายการแข่งขันออกไปตาม 3 เมืองใหญ่ ประกอบด้วย “กรุงมะนิลา, เมืองคลาร์ก, เมืองซูบิก” โดยที่จะมีนักกีฬาประมาณ 9,840 คน จากทั้งหมด 11 ชาติในอาเซียน เข้าร่วมการแข่งขัน เพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่งในกีฬาซีเกมส์บนดินแดนตากาล็อกครั้งนี้

ในส่วนทัพนักกีฬาทีมชาติไทยจะส่งนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน 53 ชนิดกีฬา รวมนักกีฬาทั้งหมด 1,048 คน โดยไม่ได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมใน 3 ชนิดกีฬา เนื่องจากไม่มีสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทยรองรับ คือ อานิส (ศิลปะการต่อสู้ฟิลิปปินส์), ฮอกกี้ใต้น้ำ (อันเดอร์วอเตอร์ฮอกกี้) และวิ่งผ่านอุปสรรค (ออปสตาเคิล สปอร์ต)

เป้าหมายของทัพนักกีฬาไทยในการทำศึกซีเกมส์ 2019 ได้ตั้งเป้าไว้ว่า ต้องการที่จะครองเจ้าเหรียญทองในชนิดกีฬาสากลที่บรรจุอยู่ในกีฬาโอลิมปิกเกมส์เท่านั้น

เนื่องจากหากจะมองถึงการคว้าเจ้าเหรียญทองกีฬาทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก

เพราะเจ้าภาพฟิลิปปินส์บรรจุกีฬาพื้นบ้านเข้ามาเพื่อโกยเหรียญทองหวังประกาศเป็นเจ้าอาเซียนบนถิ่นของตัวเอง

 

อย่างไรก็ตาม สมาคมนักข่าวช่างภาพกีฬาแห่งประเทศไทย ได้มีการจัดแถลงข่าว” “มีต เดอะเพรส ซีเกมส์ 2019″” เพื่อประเมินความหวังของทัพนักกีฬาไทยในศึกซีเกมส์ครั้งนี้ ซึ่งจากทั้งหมดที่ส่งเข้าร่วมการชิงชัย 53 ชนิดกีฬา ได้มีการประเมินความคาดหวังเอาไว้รวมกันทั้งสิ้น 121 เหรียญทองจากทั้งหมด 530 เหรียญทอง ประกอบด้วย

กรีฑา 6 ทอง, กอล์ฟ 4 ทอง, กระดานโต้คลื่น 1 ทอง, คาราเต้โด 3 ทอง, คูราช 2 ทอง, จักรยาน 2 ทอง, ซอฟท์เทนนิส 3 ทอง, ซอฟท์บอล 2 ทอง, เซปักตะกร้อ 3 ทอง, แซมโบ้ 2 ทอง, เบสบอล 1 ทอง, เทเบิลเทนนิส 1 ทอง, เปตอง 2 ทอง, ไตรกีฬา 1 ทอง, เทควันโด 4 ทอง, เทนนิส 3 ทอง ส่วน เนตบอล หวังเข้ารอบชิงชนะเลิศ

โบว์ลิ่ง 1 ทอง, แบดมินตัน 1 ทอง, บาสเกตบอล 2 ทอง, บิลเลียดและสนุกเกอร์ 1 ทอง, ปัญจกีฬา 3 ทอง, ปันจักสีลัต 2 ทอง, ฟุตบอล 2 ทอง, ฟิกเกอร์และสปีดสเกตติ้ง 2 ทอง, มวยปล้ำ 2 ทอง, มวยไทยสมัครเล่น 2 ทอง, มวยสากลสมัครเล่น 5 ทอง, ยูโด 4 ทอง, ยูยิตสู 5 ทอง, ยิงปืน 3 ทอง, ยิงธนู 2 ทอง, ยิมนาสติก 2 ทอง

รักบี้ 7 คน 1 ทอง, เรือใบ 3 ทอง, เรือพาย 7 ทอง, เรือยาวประเพณี 3 ทอง, ลอนโบวล์ส 2 ทอง, ลีลาศ 3 ทอง, ว่ายน้ำ 3 ทอง, วูซู 1 ทอง, วินด์เซิร์ฟ 2 ทอง, วอลเลย์บอล 2 ทอง, สควอช 1 ทอง, หมากรุกสากล 1 ทอง, อีสปอร์ต 3 ทอง, เอ็กซ์ตรีม 6 ทอง, แฮนด์บอล 1 ทอง, ฮอกกี้น้ำแข็ง 1 ทอง

ฮอกกี้และฟลอร์บอล 2 ทอง

 

“บิ๊กต้อม” “ธนา ไชยประสิทธิ์” หัวหน้าคณะนักกีฬาทีมชาติไทย ชุดกีฬาซีเกมส์ 2019 ระบุว่า สำหรับยอดเหรียญรางวัลของทัพไทยในตัวเลขอยู่ที่ 121 เหรียญทอง โดยถือเป็นตัวเลขที่น่ายินดีที่ได้

แต่ส่วนตัวเชื่อว่าเมื่อแข่งขันจริง อาจมีบวกเพิ่มและลบจากนี้อีก 10 เหรียญทองเป็นอย่างน้อย

“ส่วนการที่ทัพนักกีฬาไทยจะเป็นเจ้าเหรียญทองซีเกมส์ 2019 หรือไม่นั้น ผมมองว่า เป็นเรื่องยาก แต่สิ่งที่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด เรามีโอกาสที่ดีทีเดียวในการคว้าเจ้าเหรียญทองในชนิดกีฬาสากลที่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์” หัวหน้าคณะนักกีฬาทีมชาติไทยกล่าว

ขณะที่ “บิ๊กก้อง” “ดร.ก้องศักด ยอดมณี” ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ระบุว่า กกท.มีหน้าที่หลักในการดูแล และรับผิดชอบตั้งแต่การเก็บตัวยันส่งนักกีฬาร่วมแข่งขัน โดยหนนี้เริ่มเก็บตัวตั้งแต่เดือนเมษายนจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายน รวมเวลา 240 วัน ซึ่งได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทั้งเรื่องสถิติ ร่างกาย วิทยาศาสตร์กีฬา และจิตวิทยา

“บางสมาคมกีฬาเราให้เก็บตัว โดยดำเนินแผนควบคู่ไปถึงโอลิมปิกเกมส์ 2020 สำหรับซีเกมส์ 2019 แม้มีปัจจัยภายนอกป็นตัวแปรขัดขวางไม่ให้ทัพไทยก้าวไปคว้าเจ้าเหรียญทองได้ แต่ผมเชื่อว่า ภาพรวมนักกีฬาไทยจะทำผลงานได้ดีขึ้น โดยอยากให้มองและโฟกัสไปที่ชนิดกีฬาสากลที่จะสามารถต่อยอดไปสู่กีฬาเอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์”

ผู้ว่าการ กกท.กล่าว

 

ย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาทัพนักกีฬาไทยสามารถครองเจ้าเหรียญทองได้มากที่สุดถึง 13 ครั้งจากการจัดการแข่งขันมา 29 ครั้ง รวมทั้งยังโกยเหรียญรางวัลได้มากที่สุดเป็นอันดับ 1 ตลอดกาลด้วยการคว้าไปได้ 2,162 ทอง 1,827 เงิน และ 1,821 ทองแดง รองลงมาเป็น อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์ และเวียดนาม ตามลำดับ

แต่กับการแข่งขันซีเกมส์ 2019 ครั้งนี้ คงเป็นเรื่องยากที่ทัพไทยจะสามารถครองเจ้าเหรียญทองสมัยที่ 14 มาครองได้สำเร็จ เพราะเจ้าภาพฟิลิปปินส์บรรจุอีเวนต์กีฬาพื้นบ้านเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพื่อหวังโกยเหรียญ แต่ในชนิดกีฬาสากลทัพไทยจะต้องทำผลงานให้ดี รวมทั้งกีฬามหาชนอย่าง “ฟุตบอล” และ “วอลเลย์บอล” จะต้องเป็นแชมป์สถานเดียวเท่านั้น!

สำหรับกีฬาฟุตบอลนั้น ทีมฟุตบอลชายจะคุมทัพโดย “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือทีมชาติไทยชุดใหญ่ชาวญี่ปุ่น แต่ก็ถือว่าไม่ใช่งานง่าย การทัวร์นาเมนต์ระดับอาเซียนที่มีโปรแกรมการแข่งขันแบบวันเว้นวัน ทำให้นักเตะแทบไม่ได้พัก

ขณะที่ทีมฟุตบอลหญิงคุมทีมโดย “โค้ชก้าง” “นฤพล แก่นสน” ซึ่งก็จะต้องเจอกับงานหนักไม่แพ้กันอย่างแน่นอน

ส่วนกีฬาวอลเลย์บอลนั้น ทีมตบลูกยางสาวไทยมองไกลไปถึงกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 แล้ว ดังนั้น ในระดับซีเกมส์คงไม่น่าพลาดป้องกันแชมป์ได้อีกสมัย แต่ก็จะประมาทไม่ได้ เช่นเดียวกับทีมนักตบลูกยางหนุ่มไทยที่แม้จะครองความยิ่งใหญ่มาโดยตลอด แต่ก็ไม่ควรมองข้ามชาติอื่นที่กำลังยกระดับพัฒนาขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด

อย่างไรก็ตาม จากการประเมินความคาดหวังของทัพไทยอยู่ที่ตัวเลข 121 เหรียญทองนั้น เชื่อมั่นใจว่า หากทุกสมาคมกีฬาสามารถทำผลงานได้ตามที่ประกาศเป้าหมายเอาไว้ ทัพไทยก็มีโอกาสครองเจ้าทองกีฬาสากล รวมทั้งก็พอที่จะมีโอกาสก้าวไปถึงการครองเจ้าเหรียญทองรวมได้เช่นกัน

แต่หากไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งกันเอาไว้ก็คงจะต้องกลับมานั่งคิดทบทวนกันว่า เพียงแค่ในระดับซีเกมส์ยังก้าวข้ามไปไม่ได้ แล้วเราจะมองไปถึงในระดับต่อไปในเอเชี่ยนเกมส์ และโอลิมปิกเกมส์กันต่ออย่างไรดี?