เด็กเก็บบอล : สรุปตลาดซื้อ-ขายพรีเมียร์ บิ๊กซิกซ์ใครเสริมเจ๋ง-ใครเสริมเจ๊ง

ฟุตบอล “พรีเมียร์ลีก” เปิดฉากกันอย่างเป็นทางการแล้ว สลับกับที่ตลาดการซื้อขายนักเตะของทีมจากอังกฤษก็สิ้นสุดลงเช่นกัน

ด้วยการเปลี่ยนกฎมาใน 2 ปีหลังสุด ทำให้ตลาดซื้อขายของอังกฤษดูจะเร่งรีบ มองในมุมหนึ่งก็มีแง่ดีกับการให้นักเตะมีสมาธิในเกมเตะ

แต่มองในแง่ร้าย ตราบเท่าที่ตลาดซื้อขายลีกอื่นยังไม่จบ ก็เท่ากับว่านักเตะยังเลือกย้ายออกได้ โดยที่สโมสรไม่สามารถหาตัวแทนมาเสริมในช่วงนี้ได้เลย

เมื่อนับทั้งหมดแล้ว ตลาดซื้อขายพรีเมียร์ลีกในช่วงซัมเมอร์ 2019 นี้ มีการใช้เงินไปถึง 1.4 พันล้านปอนด์ (ประมาณ 52 พันล้านบาท) ใน 99 การย้ายทีมแบบถาวร

 

นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในซัมเมอร์นี้ คงหนีไม่พ้น “แฮร์รี่ แม็กไกวร์” ปราการหลังทีมชาติอังกฤษ ที่ทุบสถิติกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลก ย้ายจาก “จิ้งจอกสยาม” “เลสเตอร์ ซิตี้” มาร่วมทีม “ปีศาจแดง” “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” ด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,975 ล้านบาท)

รองลงมาก็คือ “นิโกลาส์ เปเป้” ปีกของ “ปืนใหญ่” “อาร์เซนอล” ที่ย้ายจาก “ลีลล์” ในลีกเอิง ฝรั่งเศส มาด้วยค่าตัว 72 ล้านปอนด์ (ประมาณ 2,678 ล้านบาท)

นับแค่เงินจ่ายออกอย่างเดียว ทีมที่ใช้เงินมากที่สุดก็คือปีศาจแดง โดยใช้ไปทั้งหมด 148 ล้านปอนด์ (ประมาณ 5,505 ล้านบาท) ตามมาด้วย “สิงห์ผงาด” “แอสตัน วิลลา” ทีมน้องใหม่ ที่กดไปถึง 144.5 ล้านปอนด์ (ราว 5,374 ล้านบาท) ด้วยกัน แต่ถ้าหักรายรับแล้ว แอสตัน วิลลา คือทีมที่จ่ายเงินมากที่สุด เพราะไม่ได้ปล่อยใครออกไปเลย (เรียกว่าจ่ายอย่างเดียวนั่นแหละ)

ว่ากันถึงเรื่องรายรับ ทีมที่ขายนักเตะได้เงินมากที่สุดก็หนีไม่พ้น “สิงโตน้ำเงินคราม” “เชลซี” เพราะแค่ “เอเด็น อาซาร์” คนเดียวก็กดไป 130 ล้านปอนด์ (ราว 4,835 ล้านบาท) เข้าให้แล้ว

โดยรวมเชลซีขายไปทั้งหมด 213.2 ล้านปอนด์ด้วยกัน (ราว 7,930 ล้านบาท)

ส่วนทีมที่วุ่นวายมากที่สุดในซัมเมอร์นี้ก็คือ “ท็อฟฟี่เมนส์” เอฟเวอร์ตัน ที่เซ็นผู้เล่นใหม่เข้ามา 7 ราย (ซื้อขาด 6 ยืม 1) แต่ปล่อยออกไปถึง 27 รายด้วยกัน (ขายขาด 17 ปล่อยยืม 10)

 

ทีนี้เราจะมาดูภาพรวมของทีมบิ๊กซิกซ์ หรือ 6 ยักษ์ใหญ่ที่มีลุ้นแชมป์กันดูบ้าง ว่าแต่ละทีมนั้น มีตลาดซื้อขายที่เป็นอย่างไรกันบ้าง

เริ่มต้นกันที่แชมป์เก่าอย่าง “เรือใบสีฟ้า” “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” เริ่มต้นปีนี้ “เป๊ป กวาร์ดิโอลา” ต้องเสริมนักเตะใหม่อย่างน้อย 2 ตำแหน่ง ก็คือเซ็นเตอร์แบ๊กเพื่อมาทดแทน “แวงซ็องต์ กอมปานี” ที่กลับไปอันเดอร์เลชท์ กับหาตัวช่วยให้กับ “แฟร์นันดินโญ่” ที่อายุเริ่มมากและโรยราแล้ว

ซึ่งในส่วนของแนวรับ พวกเขาได้ “ชูเอา คันเซโล่” แบ๊กขวาจากยูเวนตุส เข้ามาโดยใช้ดานิโล่ แบ๊กส่วนเกินแลกตัวไป ในกรณีนี้สามารถมองได้ว่า ตัวเลือกตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ๊กที่มีอยู่เพียงพอ โดยอาจจะสามารถใช้ “ไคล์ วอล์กเกอร์” มายืนเซ็นเตอร์ได้ด้วย และใช้คันเซโล่ลงเล่นแบ๊กแทน นอกจากนี้ ยังมีอังเจลิโน่ ที่เซ็นกลับมาเป็นอะไหล่ในแบ๊กซ้ายอีก

แต่ที่ถือว่าเป็นการซื้อตัวที่เด็ดขาดที่สุด คงต้องยกให้การเซ็น “โรดรี้” กองกลางจาก “ตราหมี” “แอตเลติโก มาดริด” เข้ามา ซึ่งกองกลางกระทิงดุรายนี้เพิ่งอายุแค่ 23 ปี พร้อมจะเป็นตัวแทนของแฟร์นันดินโญ่ไปได้อีกหลายปีทีเดียว

ขณะที่ขุมกำลังอื่นยังดีพร้อม ดังนั้น ไม่น่าแปลกใจเลยว่า ทุกสำนักต่างยังคงมองพวกเขาเป็นเต็ง 1 เหมือนเคย

 

ด้านรองแชมป์เก่าอย่าง “หงส์แดง” “ลิเวอร์พูล” อาจจะขัดใจแฟนบอลพอสมควร กับการเซ็นเพียงแค่ดาวรุ่งเข้ามา 2 รายคือ “เซปป์ ฟาน เดน แบร์ก” และ “ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์” นอกจากนี้ก็เซ็นฟรี “อาเดรียน” เข้ามาเป็นมือ 2 ของ “อลิสซง เบ็กเกอร์” แทนที่ “ซิมง มินโญเล่ต์” ที่ย้ายทีมไป

อย่างไรก็ตาม จุดที่น่าสนใจคือ นี่คือครั้งแรกหลังจากที่ลิเวอร์พูลจบรองแชมป์ แต่ในฤดูกาลต่อมากลับไม่เสียตัวหลักออกจากทีมไปเลยแม้แต่คนเดียว ฤดูกาลนี้ที่ปล่อยออกไปมีแค่ “อัลแบร์โต้ โมเรโน่” กับ “แดเนียล สเตอร์ริดจ์” ที่หมดสัญญาเท่านั้น

ขุมกำลังหลักยังดีอยู่ แต่ขุมกำลังสำรองน่าเป็นห่วงเรื่องตัวทดแทน แต่เจอร์เก้น คล็อปป์ บอกว่าเขาคงไม่ทุ่มเงินเซ็นผู้เล่นใหม่เข้ามาเพื่อป้องกันปัญหาบาดเจ็บ เพราะถ้าไม่มีใครเจ็บ คนที่ทุ่มซื้อมาจะทำอย่างไร

รวมถึงฝากความหวังไว้กับแข้งเจ็บหนักที่เพิ่งหายดีอย่าง อเล็กซ์ อ๊อกซ์เลด-แชมเบอเลน หรือ เรียน บริวสเตอร์ แทนด้วย

 

อันดับ 3 “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เป็นฤดูกาลที่ยากลำบากสำหรับพวกเขา เพราะว่าถูก “สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ” ลงโทษห้ามซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพเป็นเวลา 2 ตลาดซื้อขาย นั่นหมายถึงซัมเมอร์นี้และช่วงปีใหม่ จะไม่สามารถเซ็นผู้เล่นใหม่เข้ามาได้เลย

นอกจากนี้ พวกเขายังต้องเสียผู้เล่นที่ดีที่สุดในทีมอย่างเอเด็น อาซาร์ ไปให้กับ “ราชันชุดขาว” “รีล มาดริด” อีกด้วย ยังไม่รวม “ดาวิด ลุยซ์” ที่มางอแงขอย้ายทีมในช่วงวันสุดท้ายก่อนปิดตลาด ก่อนจะย้ายออกไปทีมปืนใหญ่ แบบเจ็บแสบ เรียกได้ว่าพวกเขาเสียตัวหลักไปแบบหาใครมาแทนไม่ได้เลย

ยังดีที่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเซ็นล่วงหน้า “คริสเตียน พูลิซิช” มาก่อนแล้ว นอกจากนี้ ยังเซ็นถาวรกับ “มัตเตโอ โควาซิช” ไป

อย่างไรก็ตาม ยังคงเป็นงานยากสำหรับแฟรงก์ แลมพาร์ด กุนซือคนใหม่กับการเข็นทีมชุดนี้อยู่ดี

 

ต่อที่อันดับ 4 อย่าง “ไก่เดือยทอง” “ท็อตแนม ฮอตสเปอร์ส” หลังจากเก็บกดไม่ได้ใช้เงินมา 1 ฤดูกาลเต็ม ซัมเมอร์นี้พวกเขาจัดเต็มอย่างมาก ทั้ง “ตองกีย์ เอ็นดอมบูเล่, ไรอัน เซสเซอยง” หรือ “โจวานนี่ โล เซลโซ่” ขณะที่ตัวหลักเก่าๆ ก็เสียแค่คีแรน ทริปเปียร์ เพียงคนเดียวเท่านั้น

นับเป็นการเสริมทัพที่ดี เพราะว่าตำแหน่งห้องเครื่องคือสิ่งที่สเปอร์สขาดหายไปในช่วงหลัง การได้เอ็นดอมบูเล่มานับเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุด ขณะที่ตอนนี้พวกเขาก็ยังมีทั้ง “แฮร์รี่ เคน, ซอน ฮึง มิน” และ “ลูคัส มูร่า” เป็น 3 ประสานแนวรุกอีก

ถ้าจะมีปัญหาก็คงเป็นแบ๊กขวา ไม่มีตัวเข้ามาแทนทริปเปียร์ ซึ่งคงต้องใช้ไคล์ วอล์กเกอร์-ปีเตอร์ส ไปแทนก่อน ก็ต้องดูว่าจะยืนระยะในลีกสูงสุดได้แค่ไหน

 

ต่อด้วยอันดับ 5 “ปืนใหญ่” อาร์เซนอล เป็นทีมที่ประกาศโต้งๆ ว่ามีงบฯ เสริมทัพแค่น้อยนิด แต่ตอนท้ายกลับสร้างเซอร์ไพรส์ให้กองเชียร์และกองแช่งมากทีเดียว

ทั้งนิโกลาส์ เปเป้ ที่เป็นค่าตัวสถิติสโมสร (แต่ใช้การผ่อนจ่ายเอา) หรือ “คีแรน เทียร์นี่” มาแก้ปัญหาแบ๊กซ้าย หรือแม้แต่การเซ็นดาวิด ลุยซ์ เข้ามาก็ตามที

เพียงแต่ปัญหาที่ทุกคนเป็นห่วงคือเรื่องเกมรับ เพราะว่ากันตามตรง ดาวิด ลุยซ์ ก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีมากนัก ขณะที่ตัวที่มีอยู่อย่าง “ชโครดาน มุสตาฟี่” ก็ดูเป็นตัวฮามากกว่าที่จะทำให้แฟนบอลสบายใจ

เข้าข่ายกองหน้าเวิลด์คลาส กองหลังเวิลด์แก๊สยังไงยังนั้น

 

ปิดท้ายที่อันดับ 6 “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าพวกเขาทำลายสถิติดึงแฮร์รี่ แม็กไกวร์ เข้ามา รวมถึงดึง “อารอน วาน บิสซาก้า” มาเสริมแบ๊กขวา ทำให้แนวรับที่มีปัญหาตลอดปีก่อน ได้รับการแก้ไขแน่นอน

เพียงแต่การเสริมแค่นี้อาจจะยังดูไม่ถูกใจสาวกเร้ด อาร์มี่ เพราะเอาจริงๆ เป็นทีมที่มีข่าวกับนักเตะเยอะมาก ทั้ง “บรูโน่ แฟร์นานเดส” หรือ “เปาโล ดีบาลา” แต่สุดท้ายกลับไม่ได้ใครมาเลย จนเริ่มเป็นกังวลกับแนวรุกที่มีอยู่พอสมควร

อันนี้อาจจะเข้าทีกับที่ “เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน” พูดเอาไว้ก็ได้ว่า เกมรุกทำให้สนุก แต่เกมรับจะทำให้เป็นแชมป์

สุดท้ายนี้ จนกว่าจะถึงปีใหม่ ทุกทีมต่างก็ทำอะไรมากไม่ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อเลือกจะมาทางนี้ ก็ต้องดูว่าใครจะก้าวไปไกล และยืนระยะได้ดีที่สุดกันแน่