ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 5 - 11 กรกฎาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | คลุกวงใน |
ผู้เขียน | พิศณุ นิลกลัด |
เผยแพร่ |
วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม เป็นวันแรกของการแข่งขันจักรยาน Tour de France รายการจักรยานประเภทถนนใหญ่ที่สุดในโลก
การแข่งจักรยานประเภทถนน (road racing) มี 3 รายการใหญ่ของยุโรปที่เรียกว่า “Grand Tour” แข่งขันต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมไปถึงเดือนกันยายน ได้แก่ Giro d”Italia (จิโร ดิตาเลีย) Tour de France (ตูร์ เดอ ฟรองซ์) และ Vuelta a Espa?a (บูเอลตา อา เอสปันญา)
แต่รายการที่คนทั่วโลกคุ้นหูมากที่สุดคือ Tour de France ของฝรั่งเศส เพราะเป็นรายการเก่าแก่ที่สุด จัดแข่งครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1903 หรือ 115 ปีที่แล้ว
ปีนี้จัดระหว่างวันที่ 6-28 กรกฎาคม 2019 เป็นการแข่งขันครั้งที่ 106
Tour de France 2019 เริ่มแข่งสเตจแรกที่กรุงบรัสเซลส์ (Brussels) ประเทศเบลเยียม เพื่อเป็นเกียรติแก่การครบรอบ 50 ปีที่เอ็ดดี้ เมิร์กซ์ (Eddy Merckx) ยอดนักขี่จักรยานอาชีพชาวเบลเยียม ที่คว้าแชมป์ Tour de France ได้ครั้งแรกในปี 1969
เอ็ดดี้ เมิร์กซ์ เป็นยอดนักขี่จักรยานอาชีพที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ได้แชมป์ Grand Tour ทั้งหมด 11 ครั้ง (5 Giro, 5 Tour, 1 Vuelta)
การแข่งขันจะไปจบสเตจ 21 ที่ถนนฌ็องเซลิเซ่ (Champs-?lys?es) กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระยะทางรวม 3,460 กิโลเมตร เฉลี่ยแล้วนักกีฬาต้องปั่นจักรยานสเตจละ 164.7 กิโลเมตร
ดังนั้น การแข่งขันจักรยานประเภทถนนจึงเป็นหนึ่งในกีฬาที่ต้องอาศัยพละกำลังทั้งร่างกายและจิตใจจนถึงขีดสุด ซึ่งการแข่งขัน Tour de France แต่ละครั้งก็จะมีผลที่เกิดขึ้นกับนักแข่งจักรยานหลายเรื่อง ทั้งเรื่องน้ำหนักตัว ระบบภูมิคุ้มกัน กระดูก อาการปวดก้นเพราะอานจักรยานเสียดสี
รวมไปถึงเรื่องของจิตใจ
งานวิจัยเมื่อปี 2012 ศึกษาด้านกายภาพของนักขี่จักรยานที่แข่งขัน Tour de France พบว่านักกีฬาจักรยานมีน้ำหนักตัวระหว่าง 70-74 กิโลกรัม
โดยคนที่เก่งการแข่งประเภทไทม์ไทรอัล (Time-trial) ซึ่งเป็นการทดสอบความสามารถของตัวนักปั่นเองที่ต้องแข่งกับนาฬิกา ไม่ใช่การปั่นแข่งขันกับนักปั่นคนอื่น จะมีน้ำหนักตัวเยอะกว่าคนที่ปั่นจักรยานขึ้นเขา
ตลอด 3 สัปดาห์ของการแข่งขัน นักกีฬาจะพยายามรักษาน้ำหนักตัวไว้ให้คงที่ เพราะเมื่อน้ำหนักลดลงก็หมายถึงการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ และสูญเสียพลังในการขี่จักรยาน ดังนั้น ทีมงานจะให้นักกีฬากินอาหารวันละประมาณ 6,000 แคลอรี่
โดยในหนึ่งมื้อจะทานคาร์โบไฮเดรต 840 กรัม โปรตีน 200 กรัม และไขมัน 158 กรัม
ไนเจล มิตเชลล์ (Nigel Mitchell) หัวหน้านักโภชนาการชาวอังกฤษของทีม EF Education First Pro Cycling (ในอดีตคือทีม Cannondale-Drapac) ทีมจักรยานอเมริกัน บอกว่า ในปี 2017 ช่วง 3 สัปดาห์ของการแข่งขัน Tour de France 2017 ไม่มีนักขี่จักรยานคนไหนในทีมของเขาที่น้ำหนักตัวลดหรือเพิ่มขึ้นไปเกินกว่า 1 กิโลครึ่ง เมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวตอนแข่งขันสเตจแรก
แต่ธรรมชาติของการแข่งขันความเร็วก็ทำให้นักกีฬาเกิดความเครียดและอาจน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่สเตจแรกๆ ได้
นีล เฮนเดอร์สัน (Neal Henderson) โค้ชชาวอเมริกันของโรฮาน เดนนิส (Rohan Dennis) นักขี่จักรยานชาวออสเตรเลีย อธิบายว่าความเครียดและวิตกกังวลระหว่างแข่งจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) และเกิดการอักเสบที่จะนำไปสู่การสะสมของของเหลวในร่างกาย
และทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
เป็นที่ทราบกันว่าการออกกำลังกายระดับกลาง เช่นขี่จักรยานที่ความเร็ว 15-20 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นประจำ จะช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแกร่งขึ้น
แต่ในช่วงของการแข่งขัน Tour de France นักกีฬาออกกำลังกายอย่างเข้มข้น ขี่จักรยานด้วยความเร็วเฉลี่ย 40-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ติดต่อกันเป็นเวลา 3 สัปดาห์ จึงทำให้ปริมาณเม็ดเลือดขาวในร่างกายลดลง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายอ่อนแอ มีโอกาสติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น
ซึ่งเมื่อนักกีฬาต้องใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง อยู่บนท้องถนนที่แออัดในฝรั่งเศส สูดหายใจเอากลิ่นท่อรถ ฝุ่นละออง และอนุภาคของเสียเข้าไปในร่างกาย รวมถึงการสัมผัสมือและพบปะกับคนมากมายหลังแข่งจบแต่ละสเตจ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสถานการณ์ที่ทำให้เกิดอาการป่วยได้ทั้งสิ้น
โรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ปกติในกลุ่มนักแข่งจักรยาน Tour de France
ดร.อัลเลน ลิม (Allen Lim) นักสรีรวิทยา ผู้ก่อตั้งบริษัทผลิตอาหารและเครื่องดื่มให้พลังงานยี่ห้อ Skratch Labs (สแครตช์ แลบส์) และอดีตที่ปรึกษาของ Team Garmin บอกว่า เมื่อแข่งขันจักรยานมาถึงสเตจสุดท้ายในกรุงปารีส จะมีนักขี่จักรยานประมาณ 30-40% ที่มีอาการป่วยด้วยโรคติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบนกันแล้ว และก็มีบางคนที่อาจต่อสู้กับอาการป่วยไม่ไหวจนต้องถอนตัวไปตั้งแต่สเตจก่อนหน้า
การขี่จักรยานเป็นการออกกำลังกายที่ร่างกายไม่ต้องแบกรับน้ำหนักเหมือนกับกีฬาชนิดอื่น ให้ความรู้สึกเหมือนใช้ชีวิตอยู่ในอวกาศ
ถึงแม้นักกีฬาจักรยานอาชีพจะฝึกฝนอย่างหนักมากเพื่อมาแข่งขันใน Grand Tour แต่กระดูกของพวกเขาได้รับแรงกดดันน้อยมาก
ช่วงของการฝึกซ้อม นักขี่จักรยานจะออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักและวิ่งเพื่อสร้างความหนาแน่นให้มวลกระดูก
แต่ระหว่างการแข่งขันพวกเขาขี่จักรยานเพียงอย่างเดียว อีกทั้งยังขับของเหลวซึ่งเต็มไปด้วยแร่ธาตุในการสร้างมวลกระดูกอย่างโพแทสเซียมและแคลเซียมออกมาทางเหงื่ออีกเป็นจำนวนมาก
ในปี 1996 ทีมนักวิจัยชาวเยอรมันได้ทดสอบความหนาแน่นของมวลกระดูกของนักกีฬาประเภทต่างๆ ทั้งนักยกน้ำหนัก นักมวย และนักแข่งจักรยาน Tour de France แล้วนำไปเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีอายุเท่ากัน
พบว่านักยกน้ำหนักและนักมวยมีความหนาแน่นของกระดูกมากกว่ากลุ่มควบคุม
ในขณะที่นักแข่งจักรยาน Tour de France เมื่อนำไปเทียบกับกลุ่มควบคุม พบว่ามีความหนาแน่นของกระดูกสันหลังน้อยกว่า 10%
มีความหนาแน่นของกระดูกสะโพกน้อยกว่า 14%
คอ และกระดูกต้นขา มีความหนาแน่นน้อยกว่า 17%
อาการเจ็บก้นจนแข่งขันต่อไม่ไหว อาจฟังเป็นเรื่องขำขันสำหรับหลายคน แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับนักแข่งจักรยาน
นีล เฮนเดอร์สัน เล่าว่า ตอนเขาเป็นโค้ชให้กับเทย์เลอร์ ฟินนีย์ (Taylor Phinney) นักขี่จักรยานชาวอเมริกันของทีม BMC Racing (ปัจจุบันอยู่ทีม EF Education First) ในการแข่งขัน Giro d”Italia ปี 2013 ฟินนีย์ต้องถอนตัวระหว่างการแข่งขันสเตจที่ 16 เพราะมีอาการปวดจากอานจักรยาน (saddle sore) ซึ่งหนักมากจนเขาคิดถึงการเข้ารับผ่าตัดเลยทีเดียว
การแข่งขันจักรยานระยะทางไกลวันละเกินกว่าร้อยกิโลเมตร นักขี่จักรยานจะสร้างแรงกดทับและเสียดสีระหว่างอานกับก้นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งที่นั่งแค่เพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เกิดอาการปวดที่ยากจะแก้ไข
นอกจากนี้ การเสียดสีกับอานจักรยานนานๆ ยังมีโอกาสทำให้เกิดอาการรูขุมขนอักเสบ (folliculitis) เกิดเป็นตุ่มสิวบริเวณก้น ซึ่ง ดร.อัลเลนบอกว่า การเกิดสิวที่ก้นอาจไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับคนทั่วไป
แต่สำหรับนักขี่จักรยานอาชีพอาจทำให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวง