เด็กเก็บบอล : “ช้างศึก” อาการหนัก ปัญหาเร่งแก้ไขก่อน “ฟุตบอลโลก”

เรียกได้ว่าจบลงแบบที่ไม่น่าประทับใจสุดๆ สำหรับการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน* “คิงส์คัพ”* ครั้งที่ 47 ที่จบลงไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 ที่ฟุตบอลคิงส์คัพได้ออกไปจัดยังต่างจังหวัดบ้าง ซึ่งคราวนี้สัญจรกันไปจัดถึงบุรีรัมย์ เมืองแห่งกีฬา

มันก็น่าเสียดายที่ฟอร์มของ “ช้างศึก” กลับไม่เอาไหน นัดแรกเปิดมาถึงก็แพ้ให้กับอริตัวฉกาจแห่งอาเซียน อย่าง *เวียดนาม* 0-1 แล้วพอไม่เข้าชิง ก็ทำให้เกมนัดสอง ที่เป็นการชิงอันดับ 3 จืดลงไป

ซ้ำร้าย ยังโดน *อินเดีย* บุกมาเอาชนะถึงถิ่นในรอบ 49 ปี โดนย้ำแค้นจากที่โดนถล่มในเกมนัดเปิดสนาม *เอเชี่ยนคัพ 2019* จบการแข่งขันด้วยการเป็นบ๊วยในรอบ 7 ปี พร้อมสถิติไม่สามารถทำประตูได้เลยแม้แต่ลูกเดียว

แน่นอนว่าทุกครั้งเมื่อทีมชาติไทยผลงานไม่เอาไหน เราก็มักจะได้เห็นเกรียนคีย์บอร์ดต่างๆ ออกมาละเลงแป้นพิมพ์ ด่ากันอย่างสาดเสียเทเสีย โดยที่หาคอมเมนต์ติเพื่อพัฒนาได้น้อยมากๆ

นักเตะที่เคยเป็นฮีโร่ของทีมอย่าง “ตอง” *กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์* พลาดในเกมแรกก็โดนถล่มอินสตาแกรมอย่างหนัก

หรือ “โค้ชโต่ย” *ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย* ที่เคยเป็นฮีโร่หลังจากที่ปลด *มิโลวาน ราเยวัช* จนบุกไปชนะจีนถึงถิ่นได้ คราวนี้เรียกว่าเละเลยทีเดียว

หนักข้อก็ถึงขั้นไล่ “บิ๊กอ๊อด” *พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง* นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ออกจากตำแหน่ง ด้วยวาทกรรมคลาสสิคที่ตัวนายกเองเคยลั่นเอาไว้ว่า “ผมอาย”

สิ่งหนึ่งที่อยากให้แฟนบอลไทยรู้เอาไว้ก็คือ ฟุตบอลคิงส์คัพ ไม่ใช่ฟุตบอลไก่กาเหมือนสมัยก่อน ตอนนี้รายการนี้ถูกยกระดับขึ้นมาเป็นเอแมตช์ มีคิดคะแนนสะสมในฟีฟ่าแรงกิ้ง ดังนั้น ไม่ใช่ว่าเราจะตบทุกทีมได้เหมือนที่เคยทำมา และถ้าว่ากันตามแรงกิ้งแล้ว ฟุตบอลคิงส์คัพหนนี้จบลงตามอันดับโลก เพราะไทยคือทีมที่อันดับโลกต่ำที่สุดใน 4 ทีม

ว่าแล้วก็มานั่งดูกันดีกว่า ว่าสาเหตุอันใดถึงพาให้ “ช้างศึก” ตัวนี้ หาฟอร์มเก่งของตัวเองไม่ได้

 

จุดใหญ่ใจความคงต้องพูดถึงเรื่องการเลือกตัวผู้เล่น หลายคนมีความขัดใจอยู่พอสมควร นักเตะที่ฟอร์มดี พาทีมอยู่ในโซนหัวตาราง กลับไม่มีชื่อติดทีมมา แต่กลับมีนักเตะหลายๆ คนที่อยู่ในทีมโซนท้ายตาราง ผลงานไม่ดีนัก ติดทีมมาด้วย

เพียงแต่เรื่องนี้มันไม่สามารถพูดได้เต็มปากนัก เพราะเราได้เห็นนักเตะอย่าง “เก่ง” *อดิศร พรหมรักษ์* วิ่งกวดผู้เล่นอินเดียในจังหวะสวนกลับ หรือ *สุพรรณ ทองสงค์* ที่พุ่งเข้าไปสกัดลูกจากเส้นประตู จนทำให้ตัวเองบาดเจ็บหนัก มันเห็นเลยว่าใจของเขานั้นพร้อมทำเพื่อชาติ ไม่ได้เกี่ยวกับผลงานในสโมสรแม้แต่นิดเดียว

ขณะที่บางทีม มีการสั่งให้นักเตะถอนตัว หรือขอร้องไม่ให้ใช้นักเตะในสังกัดของตัวเอง เพราะกลัวจะมีอาการบาดเจ็บกลับมาแล้วส่งผลกระทบต่อสโมสร ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วนี่ไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายดายนักสำหรับนักเตะเหล่านี้ที่จะได้ลงเล่นในนามทีมชาติ

บางคนหลุดทีมชาติไปนานเพิ่งกลับมาติดครั้งนี้ ได้แต่มองตาปริบๆ เพราะไม่ได้ถูกส่งลงสนามแม้แต่นาทีเดียว

 

ฟุตบอลไทยก้าวขึ้นมาสู่ยุคมืออาชีพกันแล้ว การเลือกนักเตะต่างๆ ควรจะให้อิสระกับตัวโค้ช ได้เลือกใช้นักเตะที่อยากใช้ให้เต็มที่ ไม่งั้นผลงานไม่ดีมา มันจะไม่สามารถบอกว่าเป็นความผิดของเขาได้เต็มปากนัก ซึ่งหวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำรอยอีกในช่วงฟุตบอลโลก รอบคัดเลือกนะ เพราะว่านั่นคือทัวร์นาเมนต์เป็นตาย และสำคัญมากๆ สำหรับทีมชาติไทย

มากันต่อที่ปัญหาของทีมชาติไทย ส่วนหนึ่งที่คิดว่าสำคัญมากๆ และเอาจริงๆ ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยคือตอนนี้ทีมชาติไทยขาด “เมสซี่เจ” *ชนาธิป สรงกระสินธ์* แล้วเหมือนขาดใจ กลายเป็นทีมที่ไร้ซึ่งจินตนาการในการสร้างสรรค์เกมรุก ขาดคนสร้างสรรค์เกม และทำให้เกมมันไหลลื่นเหมือนที่ผ่านๆ มา

โค้ชโต่ยพยายามลองหลายๆ รูปแบบ ตั้งแต่เกมแรกใช้ “นิว” *ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์* ดันสูงขึ้นมาเล่นแทน แต่ก็ขาดลูกบู๊ในแดนกลาง ทำให้บอลไม่ค่อยมาถึงตัวเขา และฐิติพันธ์เองก็ไม่ใช่พวกที่มีคิลเลอร์พาส หรือครองบอลเลี้ยงกินตัวได้ เท่ากับทำให้เกมรุกตื้อไปเลย ขณะที่ครึ่งหลังเปลี่ยนเอา “ตั๊ก” *สุมัญญา ปุริสาย* ลงมาเล่นแทน ก็ดูจะหายไปจากเกมเช่นกัน มาทำได้ดีเอาเกมที่สองกับอินเดีย แต่ก็ยังดีไม่พอ

นี่ก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าในฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก เกิดชนาธิปไม่ฟินขึ้นมาอีก รับรองงานหยาบแน่ๆ

 

ขณะเดียวกันการพูดว่าไทยไม่สามารถทำประตูได้เลยตลอด 180 นาที ใน 2 เกมของคิงส์คัพ มันตอกย้ำอีกครั้งว่าไทยขาดผู้เล่นในแนวรุกที่จะสามารถพังประตูได้อย่างต่อเนื่อง

จริงๆ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ พยายามแก้ไขปัญหานี้ด้วยการจัดแคมเปญ* “ไทยส์ สไตรก์แบ๊ก”* กระตุ้นให้นักเตะไทยยิงประตูให้มาก ลุ้นรับรางวัลทุกๆ 5 นัด ถ้าทำได้ 8 ประตู รับไปเลย 500,000 บาท

แต่ก็นั่นแหละ ไอ้ทีมที่สามารถพิชิตรางวัลนี้ไปได้อย่าง “สิงห์เจ้าท่า” *การท่าเรือ เอฟซี* กดไป 11 ประตูจากนัดที่ 6-10 กลับถอนผู้เล่นที่เป็นแนวรุกของทีมออกจากทีมชาติชุดนี้เสียหมด ด้วยเหตุผลที่ว่าบาดเจ็บ ซึ่งก็เลยเหมือนไม่มีประโยชน์อันใดขึ้นมา

ก่อนจะลงเล่นทีมชาติ ได้ไปดูเกมที่แพท สเตเดียม เห็นฟอร์มของ “โดม” *บดินทร์ ผาลา* ลากเลี้ยงด้วยความมั่นใจ มีจังหวะสร้างสรรค์เกมสวยๆ เล่นกับสุมัญญาได้เป็นอย่างดี นึกแล้วมันก็น่าเสียดายที่คิงส์คัพครั้งนี้ ไม่ได้เห็นบดินทร์ลากเลื้อยแบบนั้น

เอาจริงๆ ไม่ได้โลกสวย แต่ก็อยากให้มองโลกในแง่ดีกันบ้างว่า การจบบ๊วยในคิงส์คัพครั้งนี้ ส่งผลหนักสุดแค่เรื่องของอันดับโลกที่ตกลงไป แต่ก็ไม่ได้ชี้เป็นชี้ตายขนาดนั้น

มันอาจจะเป็นการดีที่เราจะได้เห็นว่าช้างศึกตัวนี้มีจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขอีกมากแค่ไหนก่อนจะถึงทัวร์นาเมนต์จริงอย่างฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ที่จะมาถึงในช่วงเดือนกันยายนนี้

 

ความพ่ายแพ้ทั้ง 2 เกม เราไม่ได้บอกว่ารูปเกมของไทยไม่ดี เพราะเอาจริงๆ ก็แทบจะเป็นฝ่ายคุมเกมได้เกือบทั้งสิ้น มันอาจจะเป็นความผิดพลาด รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องมานั่งทบทวนความผิดพลาด และไม่ให้มันเกิดขึ้นซ้ำได้อีก

สิ่งที่ตอนนี้ต้องรีบทำคือหาความชัดเจนให้กับทีมชาติชุดใหญ่ ว่าจะให้ใครรับหน้าที่คุมทีมชาติชุดนี้กันแน่ “โค้ชโต่ย” จากความพ่ายแพ้ 2 เกมนี้ ต้องยอมรับว่าขาเก้าอี้ก็ไม่แข็งแรงเท่าไหร่แล้ว เพียงแต่ถ้าจะเอาโค้ชใหม่มา งานแรกก็คือฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ทันที จะมีใครกล้าหาญมารับเผือกร้อนก้อนนี้หรือไม่

การทำงานกับวงการฟุตบอลไทย เป็นอะไรที่ความเสี่ยงสูงมากๆ ทำดีแค่เสมอตัว แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ โดนเหยียบเละเมื่อนั้น ก็น่าคิดเหมือนกันว่าคนที่จะเข้ามา จะทนรับมือเรื่องนี้ได้ดีแค่ไหนด้วย

แล้วจะทำอะไรก็รีบๆ ทำ เวลาไม่คอยท่า หลับตาแป๊บเดียว ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ก็มาจ่อใต้จมูกแล้วนะ