หงส์แดง “ตกรอบ” เพื่อ “ไปต่อ” ?

การปราชัยให้ “วูล์ฟแฮมป์ตัน” ตกรอบสามศึกเอฟเอคัพของ “ลิเวอร์พูล” จ่าฝูงพรีเมียร์ลีก แม้จะน่าตกใจในแง่สถิติ เพราะเป็นการพ่ายแพ้ 2 นัดติดๆ กันของทีมที่มีสถิติไร้พ่ายในเกมลีกมาครึ่งฤดูกาล

แต่ถ้ามองในระยะยาวก็ถือว่าไม่น่าแปลกใจเสียทีเดียว

เอฟเอคัพเป็นฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกก็จริง แต่หงส์แดงห่างแชมป์นี้มาตั้งแต่ปี 2006 แล้ว และถ้านับผลงาน 12 ฤดูกาลหลังสุด ก็มีแค่ 2 ครั้งเท่านั้นที่พวกเขาทะลุถึงรอบรองชนะเลิศได้

ดังนั้น การตกรอบในคราวนี้จึงไม่ถือว่าน่าผิดหวังสักเท่าไร

และการจัดตัวผู้เล่นที่เน้นนักเตะสำรองกับดาวรุ่งลงสนามก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า “เยอร์เก้น คล็อปป์” ไม่ได้จริงจังกับการลุ้นเข้ารอบมากนัก

และการตกรอบเสียแต่ตอนนี้ยังเป็นการตัดโปรแกรมแข่งขันลงไปอีกหลายนัด

สําหรับลิเวอร์พูลที่กำลังหวังเป้าหมายใหญ่อย่างการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกหนแรกซึ่งจะเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเมืองผู้ดีที่เหล่า “เดอะ ค็อป” รอคอยมาตั้งแต่ปี 1990 หลังจากสะดุดพ่ายให้ “แมนเชสเตอร์ ซิตี้” จนระยะห่างเหลือ 4 แต้ม แม้โอกาสยังอยู่ในมือตัวเอง แต่หลังจากนี้จะพลาดพลั้งเสียแต้มสำคัญอีกย่อมเสี่ยงมากๆ

พอตัดถ้วยเอฟเอคัพไปก็ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังถ้ายิ่งเข้ารอบลึก

ต้องไม่ลืมว่าหลังจากนี้นอกจากการลุ้นแชมป์ลีกแล้วยังมีบอลถ้วยใหญ่อย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ให้ได้ลุ้นอีกรายการด้วย และแม้แต่ถ้วยนี้ก็ยังเคยมีนักวิจารณ์ปรารภไว้เนิ่นๆ ว่า ถ้าถึงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล สถานการณ์การลุ้นแชมป์ลีกเบียดสูสีมากๆ แม้แต่ถ้วยแชมป์ยุโรปก็ยังอาจต้องยอมทิ้ง หรืออย่างน้อยก็ยอมจัดตัวแบบเสี่ยงๆ พักผู้เล่นตัวหลักคนสำคัญเอาไว้ หรือพิจารณาตามสถานการณ์ในขณะนั้นแบบยอมตัดใจได้ถ้าจำเป็น

เพราะถึงศักดิ์ศรีถ้วยแชมป์ยุโรปจะถือว่าไม่ธรรมดา แต่เชื่อว่าอย่างไรเสียในความรู้สึกของแฟนบอลลิเวอร์พูลแล้ว แชมป์ลีกที่รอคอยมาเกือบ 30 ปี น่าจะสำคัญและทำให้คน “อิน” กว่ามาก

ปัญหาก็คือ เกมลีกยังเหลืออีก 17 นัด ฟุตบอลลูกกลมๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะจากสถิติที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลเคยขึ้นนำตารางคะแนนช่วงคริสต์มาสมา 3 ครั้งในช่วงหลังๆ แต่พลาดแชมป์ทั้ง 3 ครั้ง ขณะที่ทีมอื่นๆ มักจะเข้าวินเป็นส่วนใหญ่

ครั้งที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นฤดูกาล 2013-2014 ซึ่งนำมาดีๆ จนไปพลาดแพ้ 1 เสมอ 1 ใน 3 นัดสุดท้ายจนโดนแมนฯ ซิตี้แซงคว้าชัย โดยช็อตแห่งความทรงจำคือตอนกัปตันทีม “สตีเฟ่น เจอร์ราร์ด” ลื่นจนนำไปสู่การเสียประตูในนัดพ่าย “เชลซี”

เมื่อมีบทเรียนราคาแพงในครั้งนั้น หงส์แดงจึงต้องระวังไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก

มาฤดูกาลนี้ พอตกรอบเอฟเอคัพแล้ว หลังจากนี้ลิเวอร์พูลจะเตะเกมลีกอีก 2 นัด ก่อนได้พักชาร์จไฟ 2 สัปดาห์ สิ่งสำคัญคือการเคลียร์สมองให้โล่ง เพราะแม้การตกรอบเอฟเอคัพจะเป็นผลดีต่อทีมในแง่การลุ้นแชมป์ระยะยาว แต่ถ้าการแพ้ติดๆ กัน 2 นัดไปก่อความรำคาญใจหรือสั่นสะเทือนความมั่นใจของนักเตะแล้วก็อาจจะกระทบกับฟอร์มการเล่นได้

อีกประเด็นที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือการเสริมทัพในช่วงเปิดตลาดซื้อขายรอบนี้ ถึงคล็อปป์จะมองว่าเวลานี้หงส์แดงของเขาค่อนข้างลงตัวเรื่องแผนการเล่น แต่ก็ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงที่ผู้เล่นตัวหลักจะบาดเจ็บหรือล้าจากการกรำศึกยาวนานติดต่อกัน

ตอนนี้นักเตะที่บ่อนพนันถูกกฎหมายของอังกฤษยกให้เข้าข่ายมีโอกาสย้ายทีมช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมมีอยู่ 5 รายเด่นๆ

รายแรกสุดคือ “นาบิล เฟคีร์” กองกลางลียงซึ่งหวุดหวิดจะย้ายมาตั้งแต่ซัมเมอร์ที่แล้ว แต่ดีลมาล่มกลางคันในช่วงตรวจร่างกาย

โดยมีข่าวว่า หงส์แดงห่วงว่าอาการเจ็บเข่าเรื้อรังของเฟคีร์ได้รับการรักษาไม่ถูกต้องจนเสี่ยงจะกำเริบขึ้นมาอีกในอนาคต

แต่ถึงกระนั้นหลังจบบอลโลก ก็มีรายงานว่าหงส์แดงยังให้ความสนใจในตัวเฟคีร์อยู่

นอกจากนี้ยังมี 2 กองหน้า “ลอเรนโซ่ อินซินเญ่” ของนาโปลี กับ “ติโม แวร์เนอร์” ของไลป์ซิก แต่กรณีนาโปลียังหวังลุ้นไล่ตาม “ยูเวนตุส” ในกัลโช่ เซเรียอา ฤดูกาลนี้ คงยังไม่ปล่อยผู้เล่นคนสำคัญไปกลางคัน ส่วนแวร์เนอร์นั้นอาจมีโอกาสมากกว่า เพราะไลป์ซิกยอมรับว่าถ้าหว่านล้อมให้เขาต่อสัญญาใหม่ไม่ได้ก่อนสัญญาปัจจุบันสิ้นสุดในปี 2020 ก็ต้องรีบขายเพื่อหากำไรบ้าง

นักเตะอีก 2 รายที่บ่อนผู้ดีมองว่าเข้าข่ายเป้าหมายของหงส์แดงเพื่อเสริมทัพคือ “ซูโซ่” กองกลางเอซี มิลาน ซึ่งเคยอยู่กับหงส์แดงระหว่างปี 2012-2015 กับ “มัลคอล์ม” ที่เพิ่งย้ายไปอยู่กับบาร์เซโลนา แต่ผลงานยังไม่เป็นชิ้นเป็นอัน กรณีของ 2 คนนี้นักวิเคราะห์มองว่าซูโซ่ หงส์คงไม่ดึงกลับมาอีก ส่วนมัลคอล์ม ถ้าคล็อปป์อยากเพิ่มความหลากหลายในเกมรุกก็อาจใช้วิธียืมตัวมาแทน

อันที่จริง แฟนๆ หลายคนอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าตำแหน่งที่ลิเวอร์พูลควรจะเสริมทัพแบบเร่งด่วนเวลานี้น่าจะเป็นตำแหน่งกองหลังมากกว่าหรือเปล่า เพราะนับวันกองหลังยิ่งมีปัญหาบาดเจ็บ ไม่สมบูรณ์ไปเรื่อยๆ

สำหรับทีมที่เสริมแนวรับจนกลายเป็นจุดเด่นสำคัญถึงขั้นได้ลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้ ถือเป็นโจทย์ใหญ่เฉพาะหน้าที่ควรเร่งหาข้อสรุปโดยเร็ว