“สุข-เศร้า-ปลื้มใจ-ผิดหวัง” กับ 5 ข่าวเด่นกีฬาไทย 2018

เผลอแป๊บเดียว ปี 2018 ก็กำลังจะผ่านพ้นกันไปแล้ว นับเป็นปีหนึ่งที่วงการกีฬาไทยมีทั้งเรื่องน่ายินดี, มีความสุข, เศร้า หรือว่าน่าผิดหวังกันไปตามเรื่องราวที่ผ่านเข้ามา

วันนี้เราจะมาย้อนกันดูว่า 5 เหตุการณ์สำคัญของวงการกีฬาไทยในรอบปีที่ผ่านมานั้นมีอะไรบ้าง และเราได้เติบโตกันไปในทางใด

1.ทัพไทยล้มเหลวในเอเชี่ยนเกมส์

การแข่งขันของทัพนักกีฬาไทยในปีนี้ที่สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้น “เอเชี่ยนเกมส์” ซึ่งครั้งนี้จะจัดขึ้นที่กรุงจาการ์ตา และเมืองปาเล็มบัง “ประเทศอินโดนีเซีย”

นับว่าเป็นครั้งที่นักกีฬาไทยเดินทางไปทัพใหญ่ที่สุดถึง 830 คน มากกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนที่” “อินชอนเกมส์”” เกือบเท่าตัว พร้อมกับความหวังที่คาดการณ์กันเอาไว้ว่าทัพไทยครั้งนี้น่าจะได้ราวๆ 17-20 เหรียญทอง และจะมากกว่าหนก่อนที่อินชอนเกมส์

แต่สุดท้ายทัพไทยกลับคว้ามาได้เพียงแค่ 11 ทอง 16 เงิน 46 ทองแดง จบเพียงอันดับที่ 12 ไม่ติดท็อป 10 ของเอเชียครั้งแรกในรอบ 20 ปีเลยทีเดียว

หลายสมาคมกีฬาตั้งเป้าเอาไว้สูง แต่สุดท้ายกลับพลาดเป้ากัน อย่างเช่น “เรือพาย” ที่ตั้งไว้ 2 ทอง แต่ได้เพียงเหรียญทองแดงกลับมา หรืออย่างเช่น “ยกน้ำหนัก” ที่มีดีกรีเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์เข้าแข่งขันถึง 2 คน ทั้ง “แนน” “โสภิตา ธนสาร” กับ “ฝ้าย” “สุกัญญา ศรีสุราช” แต่ไม่มีเหรียญทองติดมือกลับมาเช่นกัน

เพียงแต่ข้อดีของเอเชี่ยนเกมส์ครั้งนี้ เราได้เห็นนักกีฬาหน้าใหม่แทรกขึ้นมาคว้าเหรียญรางวัล เช่น “ทีเจ” “จาย อังค์สุธาสาวิทย์” นักปั่นสองล้อลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย, “โอ๊ต” “ภาสพงศ์ อ่ำสำอาง” นักกรีฑาประเภทกระโดดค้ำชาย หรือ “ปาร์ค” “สุทธิศักดิ์ สิงห์ขรณ์” กับเหรียญทศกรีฑาที่ไม่มีใครทำได้มากว่า 40 ปี

สิ่งที่ทัพนักกีฬาไทยควรทำอย่างเร่งด่วนคือค้นหาความผิดพลาด และเร่งพัฒนานักกีฬา เพราะเหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 ปี โอลิมปิกเกมส์ที่ประเทศญี่ปุ่นก็จะมาถึงแล้วนั่นเอง

2.คนกีฬาร่วมให้กำลังใจ “หมูป่าอคาเดมี”

ในขณะที่” “ฟุตบอลโลก 2018″” ที่ประเทศรัสเซีย กำลังฟาดแข้งกันอย่างเมามัน แต่สิ่งที่คนไทยเฝ้ารอมากที่สุดในตอนนั้นคงเป็นการกลับมาของทีม” “หมูป่าอคาเดมี”” ทีมนักฟุตบอลเยาวชน จ.เชียงราย ที่หายไปภายใน “ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน” ตั้งแต่ 23 มิถุนายน ก่อนจะใช้เวลาเกือบ 17 วันถึงจะนำตัวนักเตะทั้ง 12 กับโค้ชอีกหนึ่งคนกลับออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ

สิ่งหนึ่งนอกเหนือจากการระดมทุกสรรพกำลังจากหลายภาคส่วนต่างๆ ที่ช่วยกันค้นหาทีมหมูป่าอคาเดมีแล้ว ก็ยังมีแรงใจจากคนกีฬาที่เรียกได้ว่ามากันทั่วโลก เพื่อหวังอยากให้ทั้ง 13 คนยังรอดชีวิต

อีกทั้งยังมีโอกาสต่างๆ ที่เหล่าหมูป่าอคาเดมีได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการได้ไปชมการแข่งขันกีฬา “ยูธโอลิมปิกเกมส์ 2018” ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา หรือการไปชมเกม “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ถึงสนามโอลด์ แทรฟฟอร์ด รังเหย้าของ “ปีศาจแดง” “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” เป็นต้น

นับได้ว่าเป็นการรวมใจของคนวงการกีฬาที่หาได้ยากแท้ยิ่งนัก

3.การเป็นเจ้าภาพโมโตจีพีครั้งแรก

นับว่าเป็นปีที่ไทยเปิดประสบการณ์การเป็นเจ้าภาพการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งในโลก เพราะถ้าพูดถึงรถสองล้อ ไม่มีใครไม่รู้จักการแข่งขัน “โมโตจีพี” อย่างแน่นอน

ซึ่งก่อนหน้าที่ไทยจะได้เป็นเจ้าภาพ ต่างมีความกังวลหลายๆ ด้านออกมา ไม่ว่าจะเป็นกลัวการขาดทุน หรือการนำเอางบประมาณรัฐไปใช้กันแบบฟุ่มเฟือยไม่ได้ส่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติ

แต่ทว่าหลังจากที่” “พีทีที ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2018″” จบลงไป ทุกฝ่ายต่างต้องยอมซูฮกว่าประเทศไทยควรจะเป็นการแข่งขันระดับนี้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนผู้ชมที่มากที่สุดรวมทั้ง 3 วันของการแข่งขันจากทุกสนามทั่วโลก แล้วยังมีเงินที่สะพัดมากกว่า 3.1 พันล้านบาทด้วยกัน

สิ่งที่เจ้าภาพอย่าง “ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต” ได้รับคำชมอย่างมากคือการบริหารจัดการคนเรือนหมื่นเกือบถึงแสนคนต่อวันนั้นทำได้ดีมากๆ แทบจะไม่มีปัญหา โดยเฉพาะเรื่องของการจราจรต่างๆ ที่หลายฝ่ายกังวลเอาไว้

อีกทั้งด้วยความคิดของ “บิ๊กเน” “เนวิน ชิดชอบ” กับการนำเอารถอีแต๋น สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของคนอีสานมาใช้ทำเป็นรถชัตเติลบัสเพื่อคอยรับ-ส่งแฟนมอเตอร์สปอร์ต ก็กลายเป็นภาพจำให้ทุกคนจดจำว่า ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์นั้นมีดีอย่างไร

ถ้าทำดีแบบนี้ได้ต่อเนื่อง ไม่แน่ รายการนี้อาจจะได้อยู่กับคนไทยมากกว่า 3 ปี ตามสัญญาที่เซ็นไว้ก็ได้

4.ปีร้าย-ดีของวงการฟุตบอลไทย

สำหรับปี 2018 ในส่วนของวงการฟุตบอลไทยนั้น ต้องบอกว่าเป็นปีที่มีทั้งเรื่องร้ายและดี เรื่องร้ายนั้นก็ต้องบอกว่าเป็นปีที่ย่ำแย่ของ “ช้างศึก” “ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย” ไล่ตั้งแต่ชุดอายุไม่เกิน 23 ปี ที่ไปแข่งขันเอเชี่ยนเกมส์ แล้วมีอันต้องกระเด็นตกรอบแรกไปแบบไม่สามารถเอาชนะใครได้แม้แต่เกมเดียว

ผิดหวังกับชุดเล็กแล้วยังไม่พอ ชุดใหญ่ที่ต้องป้องกันแชมป์” “เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ”” ก็ทำได้แค่เข้าถึงรอบรองชนะเลิศ แล้วแพ้ให้กับ “มาเลเซีย” แบบที่ไม่แพ้ใครตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ แค่เกมเหย้า-เยือนกับ “เสือเหลือง” เสมอทั้งคู่เท่านั้น

แต่ในท่ามกลางข่าวร้ายต่างๆ ก็ยังมีข่าวดี นั่นคือการที่นักเตะไทยได้โกอินเตอร์ไปเล่นในเจลีก ญี่ปุ่น ถึง 3 คนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น “เจ” “ชนาธิป สรงกระสินธ์” แห่ง “คอนซาโดเล่ ซัปโปโร”, “มุ้ย” “ธีรศิลป์ แดงดา” จาก “ซานเฟรชเช่ ฮิโรชิม่า” และ “อุ้ม” “ธีราทร บุญมาทัน” จาก “วิสเซล โกเบ” แถมยังมี “ตอง” “กวินทร์ ธรรมสัจนานันท์” ที่ไปเล่นให้กับ “โอเอช ลูเวิน” ในเบลเยียมอีกด้วย

และที่ประสบความสำเร็จที่สุดก็คือเจ้าเจ ที่ติดทีมยอดเยี่ยมของเจลีก ประจำฤดูกาล 2018 ไปได้ แถมยังได้นักเตะยอดเยี่ยมของสโมสรอีกด้วย

ก็ต้องมาดูกันว่า 4 นักเตะโกอินเตอร์จะมาช่วย “ช้างศึก” กู้หน้าใน “เอเชี่ยนคัพ 2019” ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นี้ได้หรือไม่

5.การเสียชีวิตของเจ้าสัววิชัย

เหตุการณ์สุดท้ายที่ยกมาเป็นเหตุการณ์สุดเศร้าที่เชื่อว่าไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นกับการสูญเสียครั้งใหญ่ของวงการกีฬาไทย กับเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวของ “เจ้าสัววิชัย” “นายวิชัย ศรีวัฒนประภา” ดิ่งโลกบริเวณนอกสนามคิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม รังเหย้าของ “จิ้งจอกสยาม” “เลสเตอร์ ซิตี้” เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย รวมทั้งนายวิชัยด้วย

เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่วงการฟุตบอล เพราะว่าคนทั่วโลกที่รับทราบข่าวต่างก็ตกใจไม่แพ้กัน ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่มีคำสดุดีมากมายไปยังครอบครัวศรีวัฒนประภาเป็นจำนวนมาก

สิ่งที่เจ้าสัววิชัยทำให้กับวงการกีฬาไทย ไม่ใช่แค่เรื่องของการนำเลสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรก แต่ยังสนับสนุนโครงการต่างๆ ที่เป็นการช่วยเหลือให้ชาวเมืองเลสเตอร์มีชีวิตที่ดีขึ้น หรือการสนับสนุนวงการฟุตบอลไทย นำเด็กไปฝึกที่ประเทศอังกฤษอีกจำนวนมาก

สิ่งที่ทำให้ผู้คนนั้นจดจำเจ้าสัววิชัยได้ ไม่ใช่เรื่องของการเป็นเศรษฐี แต่คือการที่ทำทุกอย่างทุ่มเทเพื่อสังคม จึงทำให้แม้ตัวจะจากไป แต่นายวิชัยก็จะอยู่ในใจคนทุกคนตลอดไป

ส่วนปีหน้าฟ้าใหม่ วงการกีฬาไทยจะเดินไปในทิศทางใด ก็คงต้องมาดูกัน เริ่มต้นที่การเชียร์ “ช้างศึก” ทีมชาติไทย ในฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย “เอเชี่ยนคัพ” กันสัปดาห์หน้าเลย